Views 1994
2025-10-17 18:00
(กูรูเช็ค) เปรียบเทียบข้อมูลสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เลือกยังไงดี
ดูเพิ่มเติม
สารทดแทนความหวานมีความสำคัญกับอาหารเสริม เพราะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีรสชาติหวานน่าทานโดยที่ไม่เพิ่มน้ำตาลและพลังงานส่วนเกิน เหมาะกับกลุ่มคนรักสุขภาพ ควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งมีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ปลอดภัยให้เลือกใช้อยู่หลายชนิด แต่ละชนิดจะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนั้น ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะทำให้เราสามารถเลือกใช้สารให้ความหวานเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง วันนี้กูรูเช็คจะมาเปรียบเทียบข้อมูลของสารให้ความหวานแต่ละชนิดกันค่ะ
หญ้าหวาน เป็นพืชสมุนไพรที่ใบของหญ้าหวานมีสารให้ความหวานตามธรรมชาติ เช่น สตีวิโอไซด์ (Stevioside) และ รีบาวดิโอไซด์ เอ (Rebaudioside A)
คุณสมบัติของหญ้าหวาน (Stevia)
⦁ ให้พลังงาน : 0 แคลอรี หรือแทบไม่มีพลังงานเมื่อเทียบกับน้ำตาล
⦁ รสชาติ : ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า
⦁ ความคงตัว : ทนความร้อนสูงถึง 200 องศาเซลเซียส คงตัวในกรด-เบส ไม่เปลี่ยนสภาพง่าย เหมาะสำหรับแปรรูปอาหารทุกชนิด
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 4 มก./กก. ของน้ำหนักตัวต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัย
⦁ การนำไปใช้ : เครื่องดื่ม เบเกอรี่ อาหารสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สำหรับเบาหวานและควบคุมน้ำหนัก
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : ได้รับการรับรองจาก WHO, FAO, FDA ในรูปสารสกัดบริสุทธิ์ ไม่มีพิษ ไม่ก่อมะเร็ง หรือผลเสียหากรับในปริมาณแนะนำ แต่ควรระวังหากกินมากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการท้องอืด คลื่นไส้ วิงเวียน หรือปวดกล้ามเนื้อได้ในบางคน
⦁ ราคา : ผงหญ้าหวาน ราคา 69–79 บาท/ 100 กรัม ซึ่งมีราคาสูงกว่าน้ำตาลทั่วไป
⦁ ข้อจำกัด: หญ้าหวาน Stevia เป็นสกัดจากธรรมชาติ มีต้นทุนสูงกว่าสารให้หวานสังเคราะห์ เช่น ซูคราโลสหรือแอสปาร์แตม การใช้ในปริมาณเมื่อเทียบกับความหวานอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
อิริทริทอล เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากการหมักผัก และผลไม้ หรือเรียกได้ว่าได้มาจากกระบวนการหมักน้ำตาล จากแหล่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด แป้งสาลี หรือผลไม้บางชนิด ซึ่งจะถูกสกัดออกมาเป็นเกล็ด หรือผงสีขาว
คุณสมบัติของอิริทริทอล (Erythritol)
⦁ ให้พลังงาน : 0.24 แคลลอรี่ต่อกรัม
⦁ รสชาติ : ให้ความหวานประมาณ 70% ของน้ำตาลทราย
⦁ ความคงตัว : ทนความร้อนสูง ใช้กับอาหารอบ ต้ม หรือเย็นได้ดี โดยไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 50 กรัม/วัน (หรือประมาณ 0.66 กรัม/กก. ของน้ำหนักตัว/วันในผู้ชาย, 0.8 กรัม/กก.ในผู้หญิง) เพื่อเลี่ยงท้องอืด/ท้องเสีย
⦁ การนำไปใช้ : ขนม เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์คีโต ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือสินค้าที่ลดน้ำตาล
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : EFSA และ FDA สหรัฐอเมริกา รับรองว่าปลอดภัย ไม่มีพิษก่อมะเร็ง หรือผลเสียระยะยาวในคนทั่วไป แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณสูงในคนมีโรคหัวใจหรือหลอดเลือด และผู้ที่ระบบย่อยไม่สมดุล อาจเกิดท้องเสียหรือท้องอืดได้ในบางคน(อ้างอิง)
- หากระดับอิริทริทอลในเลือดที่สูงมากกว่า 75% อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะในคนกลุ่มเสี่ยง เช่นผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง หรือผู้มีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจอยู่แล้ว(อ้างอิง)
⦁ ราคา : ประมาณ 30–45 บาท/100 กรัม หรือ 175–250 บาท/กก. ขึ้นกับแหล่งผลิตและเกรดของสินค้า
⦁ ข้อจำกัด: อิริทริทอลให้ความหวานต่ำกว่าน้ำตาล และมี aftertaste แบบเย็นที่ลิ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อรสสัมผัสในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบางประเภท โดยเฉพาะวิตามิน, เม็ดเคี้ยว, หรือ gummy ที่เน้นรสชาติใกล้เคียงน้ำตาลจริง
ไซลิทอล เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่นิยมใช้แทนน้ำตาลในหมากฝรั่ง ขนมหวาน ผลิตภัณฑ์ดูแลฟัน และเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ต้องการลดน้ำตาล เพราะหวานเท่าน้ำตาลแต่ให้พลังงานต่ำกว่า
คุณสมบัติของไซลิทอล (Xylitol)
⦁ ให้พลังงาน : 2.4 กิโลแคลอรี/กรัม
⦁ รสชาติ : หวานเทียบเท่าน้ำตาลธรรมชาติ ไม่เปลี่ยนรสชาติอาหาร มีสัมผัสเย็นลิ้นเบา ๆ
⦁ ความคงตัว : ทนความร้อน ใช้งานกับเบเกอรี่ อาหารต้ม อาหารเย็นได้ดี ไม่เปลี่ยนสีหรือเสื่อมง่าย
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 50 กรัม/วันสำหรับผู้ใหญ่ และ 20–30 กรัม/วันสำหรับเด็ก
⦁ การนำไปใช้ : หมากฝรั่ง ลูกอม ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปาก เช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : รับรองโดย FDA ตั้งแต่ปี 1960 ว่าปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป และสามารถเด็กใช้ได้
- ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal พบว่าปริมาณไซลิทอลสูงสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองด้วย (อ้างอิง)
แต่ยังเป็นการศึกษาขนาดเล็ก ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ดังนั้น การควบคุมปริมาณไซลิทอลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะปลอดภัยกว่า
⦁ ราคา : 50–90 บาท/100 กรัม หรือ 260–480 บาท/กก. ขึ้นกับแหล่งผลิตและเกรดของสินค้า
⦁ ข้อจำกัด: ไซลิทอลจะทำปฏิกิริยากับความเย็นหลังรับประทาน ส่งผลต่อรสสัมผัสของอาหารเสริมบางประเภท และมีข้อจำกัดในด้านเนื้อสัมผัส/ความคงตัว
หล่อฮังก้วย เป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ด้วยคุณสมบัติหวานสูงแต่ไม่ให้พลังงาน ไม่กระตุ้นอินซูลิน เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน คีโต และผู้ควบคุมน้ำหนัก
คุณสมบัติของหล่อฮังก้วย (Monk Fruit)
⦁ ให้พลังงาน : 0 แคลอรี (ไม่ให้พลังงาน)
⦁ รสชาติ : มีความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า
⦁ ความคงตัว : ละลายน้ำได้ดีและทนต่อความร้อนสูงถึง 150 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 30 นาที
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 0.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก./ครั้ง หรือประมาณ 2 กรัม/วัน สำหรับผู้ใหญ่
⦁ การนำไปใช้ : เครื่องดื่ม อาหาร ผลิตภัณฑ์คีโต สินค้าสำหรับเบาหวาน ใช้แทนน้ำตาลในอัตราส่วน 1:1 เพราะความหวานสูง
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : FDA สหรัฐอเมริกา และ EFSA ยุโรป รับรองความปลอดภัยในรูปสารสกัดบริสุทธิ์ ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อใช้ในขนาดที่แนะนำ
ผู้ที่มีโรคตับอ่อน หรือตับอ่อนทำงานผิดปกติ อาจต้องระวังการรับประทานปริมาณมาก เพราะอาจส่งผลให้ระดับอินซูลินเปลี่ยนไปและน้ำตาลในเลือดต่ำ จนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ และหน้ามืดได้
⦁ ราคา : ประมาณ 250–350 บาท/225 กรัม หรือประมาณ 1,000–1,600 บาท/กก. (โดยผสมกับอิริทริทอลจะประหยัดกว่าใช้เดี่ยวๆ)
⦁ ข้อจำกัด: สารสกัดหล่อฮังก้วย(Monk Fruit) มีต้นทุนสูงกว่าน้ำตาลและสารให้ความหวานทั่วไปอย่างแอสปาร์แตม ซูคราโลส หรือแม้แต่หญ้าหวาน ทำให้ไม่เหมาะกับสินค้าราคาประหยัด
ซูคราโลส เป็นสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่นิยมมากในอาหารและเครื่องดื่ม เพราะหวานมากกว่าน้ำตาล แต่ไม่ให้พลังงาน เหมาะกับสายสุขภาพและผู้ป่วยเบาหวาน
คุณสมบัติของซูคราโลส (Sucralose)
⦁ ให้พลังงาน : 0 แคลอรี (ไม่ให้พลังงาน)
⦁ รสชาติ : มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 600 เท่า
⦁ ความคงตัว : ทนความร้อนสูง ละลายน้ำดี คงตัวในอาหารร้อนและเย็น
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก./วัน ตามคำแนะนำขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
⦁ การนำไปใช้ : ถูกนำไปใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากไม่มีแคลอรี ไม่ทำให้ฟันผุ และปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : รับรองความปลอดภัยจาก FDA, FAO/WHO, EFSA และ อย. ใช้ได้ในเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ป่วยเบาหวาน ไม่ก่อฟันผุ
มีการศึกษาผลระยะยาวในกลุ่มผู้ใหญ่สุขภาพดี จากการบริโภคซูคราโลส (Sucralose) 48 มก./วัน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่า ส่งผลต่อสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiota) ทำให้เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน (https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC8880058)
⦁ ราคา : ประมาณ 20–50 บาท/100 กรัม หรือ 200–500 บาท/กก.
⦁ ข้อจำกัด: โรงงานอาหารเสริมบางที่ไม่นิยมใช้ซูคราโลส เพราะอาจกังวลเรื่องความปลอดภัย ระยะยาวต่อสุขภาพลำไส้
แอสปาร์แตม เป็นสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่ใช้ในอาหารและเครื่องดื่มสูตรไม่มีน้ำตาล เพราะมีความหวานสูงและให้พลังงานต่ำ เหมาะกับกลุ่มควบคุมน้ำหนัก
คุณสมบัติของแอสปาร์แตม (Aspartame)
⦁ ให้พลังงาน : 4 กิโลแคลอรี/กรัม
⦁ รสชาติ : ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 200 เท่า รสขมเฝื่อน
⦁ ความคงตัว : ไม่คงตัวต่อความร้อนสูง เหมาะใช้ในอาหารแช่แข็ง/เครื่องดื่มเย็น
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 40 มก./กก.ของน้ำหนักตัว
⦁ การนำไปใช้ : ใช้เป็นสารให้ความหวานน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น ไซรัป น้ำสลัด น้ำอัดลม
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : FDA, EFSA, WHO, และ อย. รับรองว่าปลอดภัย เมื่อใช้ในขนาดที่แนะนำ
- การศึกษาในหนูทดลอง โดยให้แอสปาร์แตม 5–7 มก./กก./วัน พบว่า ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและความผิดปกติในการตอบสนองต่ออินซูลิน รวมถึงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลินทรีย์ในลำไส้ (https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC4197030/)
- มีประเด็นถกเถียงด้านความเสี่ยงมะเร็ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ว่าเป็นอันตรายในคนที่บริโภคตามปริมาณที่แนะนำ
⦁ ราคา : 80–100 บาท/100 กรัม หรือประมาณ 500–700 บาท/กก.
⦁ ข้อจำกัด: มีข้อห้ามใช้ในผู้แพ้ฟีนิลคีโตนูเรีย และโรงงานอาหารเสริมไม่นิยมใช้แอสปาร์แตม เพราะมีความกังวลด้านความปลอดภัย ผลกระทบระยะยาว
แซคคาริน เป็นสารให้ความหวานสังเคราะห์ชนิดแรกๆ ที่ใช้ทดแทนน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มสำหรับคนควบคุมแคลอรีและผู้ป่วยเบาหวาน
คุณสมบัติของแซคคาริน (Saccharin)
⦁ ให้พลังงาน : 0 แคลอรี (ไม่ให้พลังงาน)
⦁ รสชาติ : ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300–700 เท่า หวานติดลิ้น ขมปลาย
⦁ ความคงตัว : ทนความร้อนสูง คงตัวในกรด–เบส ใช้ได้ในอาหารแปรรูปทุกชนิด
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน ไม่เกิน 5 มก./กก.ของน้ำหนักตัว
⦁ การนำไปใช้ : ผลไม้หมักดอง น้ำอัดลม ขนม ไอศกรีม อาหารกระป๋อง หมากฝรั่ง ลูกอม ผลิตภัณฑ์คีโต/โลว์แคล
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : FDA, EFSA และWHO รับรองว่าปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณที่แนะนำ
- สหรัฐอเมริกาเคยประกาศห้ามใช้แซคคาริน เพราะกังวลผลต่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง ซึ่งพบมะเร็งในหนูที่ปริมาณสูงมากแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดในมนุษย์
- การศึกษาในหนูทดลอง พบว่าการให้แซคคารินเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลต่อสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiota) ทำให้เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน (อ้างอิง) แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดในมนุษย์เช่นกัน
- อาการของผลข้างเคียงหากแพ้หรือใช้เกินปริมาณที่เหมาะสม เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย
⦁ ราคา : 90–120 บาท/100 กรัม หรือประมาณ 450–550 บาท/กก.
⦁ ข้อจำกัด: แซคคารินมีรสขม-ฝาด หากใช้ในปริมาณมากและมักไม่เหมาะกับสูตรอาหารเสริมที่ต้องการรสชาติที่กลมกล่อม มีทางเลือกสารให้ความหวานที่ปลอดภัย และรสชาติดีกว่า เช่น สตีเวีย ซูคราโลส ที่ได้รับความนิยมและใช้แทนแซคคาริน
อะซีซัลเฟมโพแทสเซียม เป็นสารให้ความหวานที่นิยมใช้ในอาหารและเครื่องดื่มสูตรไม่มีน้ำตาล และสามารถใช้ร่วมกับสารหวานชนิดอื่นได้
คุณสมบัติของอะซีซัลเฟมโพแทสเซียม (Acesulfame K)
⦁ ให้พลังงาน : 0 กิโลแคลอรี/กรัม (ไม่ให้พลังงาาน)
⦁ รสชาติ : ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200 เท่า รสหวานติดลิ้น แต่ถ้าใช้มากอาจติดขม
⦁ ความคงตัว : ทนความร้อนสูงถึง 200 องศาเซลเซียส ทนกรด-ด่างได้ดี ละลายน้ำง่าย เหมาะกับเบเกอรี่ เครื่องดื่ม และอาหารแปรรูป
⦁ ปริมาณที่ยอมรับต่อวัน: ไม่เกิน 15 มก./กก. ของน้ำหนักตัว
⦁ การนำไปใช้ : เครื่องดื่มน้ำอัดลม เจลลี่ เบเกอรี่ ลูกอม โยเกิร์ต อาหารเสริม อาหารสำเร็จรูป ยา ยาสีฟัน
⦁ การศึกษาด้านความปลอดภัย : FDA, EFSA และWHO รับรองความปลอดภัย งานวิจัยบางส่วนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในลำไส้และอาจมีผลต่อการเผาผลาญในหนูทดลอง
จากการศึกษาในหนูทดลอง โดยให้อะซีซัลเฟมโพแทสเซียม ขนาด 37.5 มก./กก. น้ำหนักตัว/วัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าทำให้เกิดภาวะ dysbiosis ในลำไส้ (อ้างอิง) แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในมนุษย์
⦁ ราคา : ประมาณ 40–100 บาท/100 กรัม และ 400–1,000 บาท/กก.
⦁ ข้อจำกัด: สารให้ความหวาน Acesulfame K อาจจะมีรสติดขม และถูกมองเป็นสารสังเคราะห์ที่ให้ภาพลักษณ์ไม่สอดคล้องกับจุดขายด้านสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ที่เป็น organic/natural จึงมักเลือกใช้สารให้ความหวาน monk fruit และ stevia แทน
ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้สารให้ความหวานในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
1. ความปลอดภัย สารให้ความหวานทุกชนิดต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงาน เช่น อย. และ FDA และต้องใช้อยู่ในปริมาณที่ไม่เกินค่าที่กำหนด (Acceptable Daily Intake: ADI) เพื่อความปลอดภัยในระยะยาว ควรระวังกลุ่มผู้บริโภคที่อาจแพ้หรือมีข้อห้าม
2. ผลต่อสุขภาพ สารให้ความหวานไม่มีแคลอรี (Non-Nutritive Sweeteners) ช่วยควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะกับกลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำตาล และควรเลือกชนิดที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น น้ำตาลแอลกอฮอล์อาจทำให้ท้องเสียเมื่อบริโภคมากเกินไป
3. รสชาติ สารให้ความหวานแต่ละชนิดให้รสหวาน-ขมต่างกัน และบางชนิดอาจมี aftertaste หรือกลิ่นเฉพาะที่ผู้บริโภคไม่ชอบ ควรทดลองปรับสูตรเพื่อให้ได้รสชาติใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด
4. ความเข้ากันได้กับส่วนประกอบอื่นในสูตร เช่น ความคงตัว ความสามารถละลาย ฯลฯ
5. ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เด็ก ผู้ป่วย ผู้รักสุขภาพ หรือผู้ทานคีโต/Vegan แต่ละกลุ่มผู้บริโภคกจะมีข้อคำนึงที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ปัจจัยด้านราคาก็มีผลต่อต้นทุนในการผลิตขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่เลือก
เจ้าของแบรนด์ที่อยากพัฒนาสูตรอาหารเสริม สกินแคร์ พร้อม Partner โรงงานผลิตอาหารเสริมที่มีความเชี่ยวชาญ สนใจปรึกษาได้ที่นี่
“กูรูเช็ค” ชุมชนที่รวมเจ้าของแบรนด์อาหารเสริม สกินแคร์ ไว้มากที่สุดในไทย!!! อยากอัพเดทงานวิจัย เทรนด์ อาหารเสริม สกินแคร์ สามารถ join group LINE : @gurucheckacademy เพื่ออัพเดตข้อมูลก่อนใครได้ฟรี!! หรือคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://line.me/R/ti/p/@gurucheckacademy
ปรึกษาพัฒนาสูตรกับผู้เชี่ยวชาญเภสัชกร R&D
(ติดต่อเรา)
“กูรูเช็คสร้างชุมชนสำหรับเจ้าของเเบรนด์ และโรงงาน OEM จากความต้องการจริงของตลาดอาหารเสริม สกินเเคร์ และผู้บริโภค ด้วยประสบการณ์ตรงในการเป็นผู้รีวิว เราจึงตั้งใจเป็นที่ปรึกษา พัฒนาสูตร(NPD)ให้กับเจ้าของเเบรนด์ เเละเป็นแพลตฟอร์มที่รวมโรงงาน OEM ที่มีความเก่งในเเต่ละด้านไว้ ให้ตอบโจทย์การผลิตอาหารเสริม สกินเเคร์ ที่ออกฤทธิ์ได้จริงตามงานวิจัย ซึ่งเป็นนโยบายหลักของเรา เพื่อยกระดับวงการอาหารเสริม สกินเเคร์ของไทยให้เเข่งขันได้ในระดับสากล“