Views 3158
2025-01-24 17:00
(กูรูเช็ค)อัปเดตอาหารเสริม ต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่น่าสนใจ
สารต้านอนุมูลอิสระสามารถพบได้จากอาหารหลายชนิด ดังนั้นการรับประทานอาหารที่หลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีปัญหาในการรับประทานอาหารหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิด อาจจำเป็นต้องรับประทานวิตามินอาหารเสริม เพื่อให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เหมาะสม
ถ้าพูดถึงสารสกัดยอดฮิตในปัจจุบัน ของอาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระที่กำลังมาแรง และคุ้นหูมากๆ ก็คงเป็น แอสต้าแซนธิน หรือสาหร่ายสีแดง HAEMATOCCCUS PLUVIALIS ซึ่งวัตถุดิบของแอสต้าแซนธินที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพนั่นก็คือ ASTAREAL ที่มีการรวบรวมเทรนด์การตลาด งานวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์ รวมถึงปริมาณล่าสุดที่ใช้ได้ตามที่ อย. ไทยกำหนด ไว้แล้ว แต่สารต้านอนุมูลอิสระไม่ได้มีเพียงเท่านี้นะ เพราะปัจจุบันมีสาร Antioxidant อื่นๆที่น่าสนใจ นอกจากแอสต้าแซนธินอีกหลายตัวเลย วันนี้กูรูเช็ครวมมาให้แล้วค่ะ
เริ่มจากวิตามินซี ที่คงไม่มีใครไม่รู้จักสารตัวนี้ และทราบถึงประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคหวัด ที่สำคัญคือช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ใบหน้าและผิวพรรณ แต่ใช่ว่าทุกปัญหาสุขภาพจะทานวิตามินซีในปริมาณเดียวกันหรือรูปแบบเดียวกัน การทานวิตามินซีมีวิธีการทานที่ถูกต้องและเหมาะกับร่างกายแต่ละคน (อ้างอิง)
รูปแบบของวิตามินซีให้ผลไม่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมแบบ เม็ด / เยลลี่ / แคปซูล / เม็ดอม / หรือผงฟู่ แต่ใดๆก็คืออย่างที่บอกว่า วิตามินซีเสื่อมง่ายเมื่อโดนความร้อน เพราะฉะนั้นถ้าจะกินแบบเยลลี่หรือเม็ดฟู่ก็ต้องดูว่าทางแบรนด์มีเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเสื่อมสลายของวิตมินซีมาด้วย
ฟอร์มของวิตามินซีในรูป ASCORBIC ACID, BUFFERED C, ESTER-C, SLOW RELEASE, PUREWAY C และ ASCORBYL PALMITATE ให้ผลไม่ต่างกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็แนะนำเป็นวิตามินซีในรูปของ LIPOSOMAL VITAMIN C เพราะเป็นรูปแบบที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซีธรรมดา (L-ASCORBIC ACID) และสามารถกินสองรูปแบบพร้อมกันได้โดยไม่แย่งกันดูดซึม ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงระคายเคืองกระเพาะอาหารด้วย (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : ปริมาณที่ควรทานต่อ 1 วันก็คือ 500-1,000 mg/วัน โดยให้แบ่งกินวันละ 2 ครั้ง
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้ในส่วนนึง แต่ก็ต้องมีการเสริมเข้าไปเพราะทุกวันนี้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับอนุมูลอิสระมากขึ้น มีหน้าที่ช่วยขนส่งอิเล็กตรอนและช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ในร่างกาย
coenzyme Q10 ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยทำให้ริ้วรอยดูจางลง และมีประสิทธิภาพในการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวด้วย (อ้างอิง)
นอกจากนี้มีอีกรายงานพบว่าการให้ CoQ10 แก่เซลล์ผิวที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีจะเป็นการเติมพลังงานให้แก่เซลล์ สามารถทำให้เซลล์ต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น และเกิดกระบวนการซ่อมแซมได้เร็วขึ้นด้วยนะ (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : ปริมาณที่ควรรับประทาน: 30-100 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ MAX DOSE ได้สูงสุดวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน และควรทานตอนท้องว่าง
ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย หากดื่มชาเขียวอย่างถูกวิธีและเหมาะสมติดต่อกันเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ชาเขียวที่มีสารสำคัญอย่างคาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยต่อต้านความเสื่อมของเซลล์และลดการอักเสบในร่างกาย และชาเขียวยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น Epigallocatechin Gallate (EGCG), Epicatechin (EC) และ Epigallocatechin (EGC) ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายได้ดีสุดๆ
ชาเขียว เป็นสารสต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติชะลอความแก่ได้ อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าชาแต่ละตัวมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างอีจีซีจี (EGCG) ที่อยู่ในกลุ่มคาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบมากที่สุดในชา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการก่อตัวของอนุมูลอิสระในร่างกาย และอาจป้องกันโรคที่เกิดจากการอักเสบ รวมถึงชะลอความแก่ได้ (อ้างอิง)
ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะไปยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน จึงช่วยลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ (อ้างอิง) และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และต้าน Photocarsinogenesis เพื่อป้องกันโรคทางผิวหนังต่างๆ ได้เป็นอย่างดี (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : การบริโภคชาเขียวสำหรับดื่มในปริมาณที่พอดี จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อสุขภาพ โดยปริมาณชาเขียวที่เหมาะสมในการบริโภคต่อวัน คือ ไม่เกิน 2-3 ถ้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการรับสารคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายไม่ให้เกิน 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน
กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย
โดยโปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญ 3 ชนิดรวมกัน ก็คือ CYSTEINE, GLYCINE และ GLUTAMINE แต่กลูต้าเป็น AMINO ACIDS โมเลกุลใหญ่ ก็เลยต้องถูกย่อยหรือแตกตัวให้เล็กลงก่อนถึงจะดูดซึมผ่านลำไส้เล็กได้ ถ้าจะให้เห็นผลต้องกินเป็น REDUCED FORM ซึ่งเป็นฟอร์มที่สามารถออกฤทธิ์ได้เลย
กลูต้าเป็นเปปไทด์ที่เกิดจาก AMINO ACIDS ทำให้มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ก็จะมีปัญหาเรื่องการดูดซึม การจะกินกลูต้าให้ได้ผลจึงต้องกินในฟอร์มที่พร้อมออกฤทธิ์นั่นคือ REDUCED FORM และต้องมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเรื่องการดูดซึมด้วย หรืออาจจะต้องกิน L-CYSTEINE ซึ่งกรดอะมิโนที่เป็น PRECURSOR ของกลูต้าร่วมด้วย ปัจจุบันอาหารเสริมบ้านเราก็เริ่มมีแล้ว แต่ก็ยังถือว่าน้อย
แนะนำให้กินแนะนำให้กินสารตั้งต้นของกลูต้า หรือ COFACTOR อย่าง SELENIUM เสริมไปด้วยเพื่อช่วยเสริมการทำงานของเอนไซม์ GLUTATHIONE PEROXIDASE ทำให้ REDUCED GLUTATHIONE สามารถทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เต็มประสิทธิภาพ และกลไกที่สำคัญที่ทำให้ GLUTATHIONE สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวได้ก็คือ GLUTATHIONE ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิวชนิด eumelanin และกระตุ้นกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวชนิด PHEOMELANIN มากกว่าทำให้สีผิวไม่คล้ำ (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : 1 วันแนะนำให้บริโภค ไม่เกิน 250 มิลลิกรัม
Resveratrol เป็นสารในกลุ่ม POLYPHENOL ซึ่งถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง พบได้มากที่สุดที่เปลือกองุ่น ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ลดริ้วรอย และปกป้องผิวจากแสงแดด ทำให้ผิวดูสุขภาพดี ดูอ่อนกว่าวัย
อีกข้อที่สำคัญคืออุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (ANTHOCYANIN) ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ที่เหนือกว่าสารอื่นๆ สามารถจับกับอนุมูลอิสระได้ดี ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอี 50 เท่า ช่วยทำให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสและดูสุขภาพดีขึ้น
ส่วนกลไกที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสของ RESVERATROL คือยับยั้ง MELANOGENIC ENZYME นั่นก็คือ TYROSINASE (อ้างอิง) ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ กระตุ้น SIRTUIN ENZYME ในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการชะลอวัย และอายุยืน (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : แนะนำให้กินเรสเวอราทรอล 1000 mg/วัน
วิตามินอี เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ประโยชน์ของวิตามินอีคือป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบ
ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบ ฟอร์ม TOCOTRIENOL เป็นวิตามินอีที่ไม่อิ่มตัวทำให้สามารถแทรกตัวในผนังเซลล์ได้ เลยสามารถช่วยฟื้นฟูชั้นเซลล์ผิวได้ดี แถมยังสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีรูปแบบเดิม(TOCOPHEROL) ถึง 60 เท่า ที่สำคัญคือมีฤทธิ์ปกป้องแสง(PHOTOPROTECTIVE) ก็คือช่วยลดความเสียหายของผิวที่เกิดจาก UVB ปกป้องผิวจากแสงแดดได้ด้วย (อ้างอิง)
วิตามินอี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณรวมโทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอลเข้าด้วยกัน จะช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด การทำงานของระบบประสาท สุขภาพจอประสาทตาและดวงตา การทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ที่ดี และแม้แต่การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (อ้างอิง) โดยวิตามินอีในรูปแบบอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ใช้เป็นสารกันหืนในอาหาร และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย
ปริมาณที่ควรใช้ : วันละ 200 มิลลิกรัม
แคโรทีนอยด์ เป็นสารพฤกษเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นเม็ดสีชนิดละลายในไขมัน แคโรทีนอยด์ พบมากในพืช ผัก ผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง แดง และเขียว ทำหน้าที่ปกป้องพืชจาก รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในแสงแดด มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ แคโรทีนอยด์มีหลายชนิดแต่ละชนิดก็ให้คุณค่าทางสารอาหารที่เป็นประโยชน์แตกต่างกัน ซึ่งแคโรทีนอยด์ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ เบต้า-แคโรทีน ไลโคปีน และลูทีน (อ้างอิง)
มีไลโคปีน เป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งมีฤทธิ์แอนตี้ออก- ซิแดนซ์สูง ไลโคปีนมีรงควัตถุสีแดง (Pigment) พบมากในมะเขือเทศสุก และพบทั่วไปในแตงโม มะละกอ และผลไม้อื่นๆ
ลูทีน จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งมีฤทธิ์แอนตี้- ออกซิแดนซ์ ลูทีนมีรงควัตถุสีเหลือง (Pigment) พบได้ทั่วไปในผักใบสีเขียวเข้ม ในร่าง- กาย คนเราลูทีนถูกพบปริมาณสูงบริเวณตรงกลางของจุดรับภาพของตา
และเบต้า แคโรทีนสารตั้งต้นวิตามินเอที่อยู่ใกลุ่มแคโรทีนอยด์ เมื่อร่างกายได้รับเข้า ไปส่วนหนึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ และอีกส่วนจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (อ้างอิง)
การนำสารแคโรทีนอยด์ไปใช้ในผลิตภัณฑ์อย่างเช่นอาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้แคโรทีนอยด์ยังสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีความสำคัญต่อดวงตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืดจึงช่วยบบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกและชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา
ปริมาณที่ควรใช้ : ขนาดรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วย สากล(IU) ซึ่งเทียบกับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณที่สมเหตุสมผลของเบต้าแคโรทีนที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือ 15 มิลลิกรัม
ทางทีมกูรูเช็คก็หวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่ต้องการสร้างแบรนด์และผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้าของตัวเอง และใครที่สนใจ Consult สร้างแบรนด์ ฟรี!! ก็สามารถ แอด LINE : @gurucheckacademy หรือคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://line.me/R/ti/p/@gurucheckacademy
(สำหรับติดต่อโฆษณา)
“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “