เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 2007

2024-09-09 12:00

(กูรูเช็ค) รีวิว 9 สารสกัดเพื่อความงาม สุดฮอตประจำปี!

กูรูเช็ค

ปีนี้อาหารเสริมเพื่อความงามยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง กูรูเช็คเลยจะพาคุณๆ มาอัปเดต 9 สารสกัดในหมวดอาหารเสริมกลุ่มนี้ มาดูกันว่าปีนี้เค้านิยมใส่อะไรกันบ้าง แล้วแต่ละตัวมีฟังก์ชั่นยังไง ช่วยเรื่องผิวหรือบำรุงสุขภาพในด้านใดบ้าง ถ้าพร้อมเเล้วก็ไปเริ่มเลยดีกว่า!!

1. NIACINAMIDE

เชื่อว่านาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก NIACINAMIDE ต้องยอมรับว่าปีนี้เขามาแรงจริงๆ ทั้งในสกินแคร์และอาหารเสริมเลย แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในสกินแคร์ซะมากกว่าเนอะ NIACINAMIDE หรือ NICOTINAMIDE หรือ VITAMIN B3 มีหน้าที่หลักคือช่วยควบคุมการผลิต SEBUM ลดเลือนจุดด่างดำและลดความหมองคล้ำ ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอเนื่องจากช่วยให้ผิวกระจ่างใส มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบและลดการเกิดสิวได้ ส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และลดการสูญเสียน้ำ 
นอกจากนี้ในงานวิจัยยังพบว่าการให้ ORAL NIACIN ในหนู ยังช่วยป้องกันการเกิด CARCINOGENESIS และ IMMUNOSUPPRESSION ที่เกิดจากรังสี UV-B ได้ และลดภาวะ PHOTOAGING ได้ (อ้างอิง) (อ้างอิง) 

NIACINAMIDE ที่อยู่ในอาหารเสริมบางทีอาจมาในรูปของวิตามินบีรวมเนอะ ข้อดีอีกอย่างของการที่เราทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของวิตามินบี 3 จะช่วยป้องกันและรักษาการขาดวิตามินบี 3 ได้ อย่างโรคเพลแลกรา(PELLAGRA) ที่เกิดจากการขาดวิตามินบี 3 แล้วส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย อ่อนเพลีย มีอาการสับสน และผิวหนังแห้งแตกจนเป็นแผลโดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า ลำคอ มือ หรือแม้กระทั่งบริเวณที่ถูกแสงแดด

สำหรับปริมาณการกินที่แนะนำ
 

ใน 1 วันปริมาณที่ควรทาน NIACINAMIDE จะอยู่ที่ 6-19 mg/วัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรค PELLAGRA ที่เกิดจากการขาดวิตามินบี 3 ทางองค์การอนามัยโลก(WHO) เขาแนะนำให้ทานอย่างน้อย 300 mg/วัน และต้องทานต่อเนื่องประมาณ 3–4 สัปดาห์

2. RETINOL ALTERNATIVES

สำหรับสารสกัดนี้ก็กระแสแรงไม่แพ้ NIACINAMIDE เลยค่ะ เพราะตอนนี้ใครๆก็หันมาให้ความสนใจกับ VITAMIN A และอนุพันธ์ของ VITAMIN A มากขึ้น แต่ปกติเราจะเห็น RETINOL ที่อยู่ในสกินแคร์ซะส่วนใหญ่เนอะ ในอาหารเสริมนี่คือค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาหารเสริมก็จะเป็น VITAMIN A ไปเลย แต่กูรูเช็คเชื่อว่าอาหารเสริมที่เป็นฟอร์ม RETINOL ก็กำลังมานะ (อ้างอิง) 

ด้านของสกินแคร์

หน้าที่หลักของ RETINOL ก็คือชะลอวัย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน การใช้ RETINOL มีข้อจำกัดมากมายเนื่องจากสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย ก็เลยมีการใช้สารเสมือน RETINOL แทน นั่นก็คือ BAKUCHIOL ซึ่งเป็นทางเลือกแทนเรตินอลที่ได้จากธรรมชาติ สามารถทำงานบนผิวในลักษณะเดียวกับเรตินอลโดยช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ และชะลอวัยได้เหมือนกัน (อ้างอิง)

ด้านอาหารเสริม

ส่วนใหญ่เรามักจะเจอเป็นฟอร์ม VITAMIN A หรือบางทีอาจมาในรูปของอนุพันธ์วิตามินเออย่าง RETINOL และ RETINYL PALMITATE วิตามินเอในอาหารเสริมนอกจากจะช่วยเรื่องผิว ชะลอวัย ต้านอนุมูลอิสระ ลดจุดด่างดำ ลดการอักเสบและลดการเกิดสิวแล้วยังช่วยมีส่วนช่วยในการมองเห็น เสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น

ซึ่งเห็นข้อดีเยอะแบบนี้แต่จะบอกว่าถ้ากินเยอะก็มีข้อเสียนะ โดยมีรายงานพบว่าารกินวิตามินเอในปริมาณสูงถือเป็นสารพิษโดยตรงและมีผลต่อตับ ซึ่งวิตามินเอส่วนเกินจะถูกเก็บไว้ใน STELLATE CELLS ในตับ และมีการสะสม อาจทำให้เกิดการกระตุ้นและการเจริญเติบโตของเซลล์ตับที่มากเกินไป รวมถึงการผลิตคอลลาเจนส่วนเกินจนเกิดเป็นพังผืด จนนำไปสู่การบาดเจ็บของตับได้ และปริมาณสูงสุดที่ร่างกายจะรับวิตามินเอได้จะอยู่ที่ 3,000 mcg/วันนะ (อ้างอิง) 

3. MACRO - AND MICROALGAE

• MACROALGAE สาหร่ายขนาดใหญ่ 

มีฤทธิ์ต้านอนุมุลอิสระที่ดีมาก ซึ่ง MACROALGAE จะมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ ก็คือสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล สีแดง และสีเขียว สาหร่ายทะเลขนาดใหญ่ประกอบด้วยเม็ดสีต่างๆ ที่ช่วยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระให้กับสาหร่าย และทำให้สาหร่ายทะเลสามารถอยู่รอดได้ในสภาวะแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งในทางกลับกันก็สามารถช่วยปกป้องผิวของเราจาก OXIDATIVE STRESS ได้ รวมไปถึงช่วยป้องกันสัญญาณของริ้วรอยก่อนวัยของผิวได้ด้วย (อ้างอิง)

• MICROALGAE สาหร่ายขนาดเล็ก 

หรือ CYANOBACTERIA ถ้าเป็นสาหร่ายไซยาโนแบคทีเรียชนิดแห้งที่เรียกว่า SPIRULINA(หรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) เป็นสาหร่ายที่เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีค่า pH สูง และองค์ประกอบออกฤทธิ์หลักคือ C-PHYCOCYANIN ซึ่งมีเม็ดสีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านจุลินทรีย์ได้ ช่วยควบคุมการผลิตซีบัมและลดการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป แล้วยังช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและปรับปรุงความชุ่มชื้นของผิวได้อีกด้วย

มีรายงานพบว่า PEPTIDE ที่ได้จาก MACROALGAE สามารถต้านความดันโลหิตสูงได้ เนื่องจากเปปไทด์จะไปยับยั้งเอนไซม์ ACE(ANGIOTENSIN I-CONVERTING ENZYME) ในระบบ RENIN-ANGIOTENSIN-ALDOSTERONE SYSTEM(RAAS) ซึ่ง  RAAS มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันเลือดและสมดุลของเหลวในร่างกายมนุษย์ ซึ่งการยับยั้ง ACE ทำให้ความดันเลือดลดลงได้ (อ้างอิง)

และมีอีกรายงานที่พบว่า MICROALGAE หรือ CYANOBACTERIA นอกจากจะมีโปรตีนแล้วยังมีแร่ธาตุทั้ง เหล็ก แคลเซียม โครเมียม ทองแดง แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี ไปจนถีงวิตามิน เอ ซี และอี ที่สำคัญคือมีสาร PHYCOCYANIN ที่ให้สารสีน้ำเงิน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และกำลังเป็นที่นิยมนำมาใส่ในเครื่องดื่มในปัจจุบันนี้ด้วยนะ (อ้างอิง)

4. ASTAXANTHIN

เป็นสารยอดฮิตอีกตัวนึงเลย คุณสมบัติคือเด่นทั้งช่วยเรื่องผิวพรรณและสุขภาพ ASTAXANTHIN สามารถพบได้ตามธรรมชาติจากแหล่งอาหารที่มีสีแดงหรือสีส้มแดง อย่างปลาแซลมอน กุ้ง แต่จะพบมากในสาหร่าย HAEMATOCOCCUS PLUVIALIS ที่สามารถสร้างสาร ASTAXANTHIN ได้ในปริมาณสูง (2.7 – 3.8% DRIED WEIGHT) ซึ่งจริงๆแล้วเป็นสาหร่ายสีเขียว ที่เมื่อถูกกระตุ้นทั้งความเข้มแสงสูงและภาวะขาดสารอาหารจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อความอยู่รอด โดยสีแดงที่เราเห็นนั่น ก็คือรงควัตถุในเซลล์ซิสต์(CYTS CELLS) ซึ่งช่วงที่เขาผลัดเปลี่ยนเป็นสีแดงนี่แหละที่ทำให้ได้สาร ASTAXANTHIN ที่มีฤทธิ์ ANTI-PHOTOOXIDATIVE STRESS ได้ดี (อ้างอิง)

ASTAXANTHIN จัดเป็น SUPER ANTIOXIDANT ที่เน้นกำจัด SINGLET OXYGEN ซึ่งเป็นส่วนนึงของสารอนุมูลอิสระ และสามารถกำจัดได้ดีกว่า VITAMIN C ถึง 6,000 เท่า / มากกว่าวิตามินอี 110 เท่า / และมากกว่า CoQ10 800 เท่าเลยนะ (อ้างอิง)

ต้องบอกก่อนว่าคุณสมบัติหลักของ ASTAXANTHIN จะไม่ได้ช่วยเรื่องผิวขาวใสได้โดยตรงนะ แต่จะเน้นไปที่ลดริ้วรอย ชะลอวัยซะมากกว่า แถมยังช่วยเรื่องสุขภาพได้ด้วย ส่วนกลไกการเพิ่มคอลลาเจนก็คือ ASTAXANTHIN จะไปยับยั้งการสร้างโปรตีน MMP-1 และ MMP-3 ทำให้การสร้างคอลลาเจนในเซลล์ HUMAN DERMAL FIBROBLAST เพิ่มขึ้น (อ้างอิง)

ซึ่งมีรายงาน พบว่า ASTAXANTHIN ช่วยลดการปลดปล่อย INFLAMMATORY CYTOKINE ในเซลล์ KERATINOCYTE ที่เป็นเซลล์ผิวหนังเพื่อลดการอักเสบ โดยให้ทาน ASTAXANTHIN 6 mg หรือ 12 mg หรือกลุ่มยาหลอก พบว่า กลุ่มที่ได้รับ ASTAXANTHIN ไม่ก่อให้เกิดริ้วรอยและผิวยังมีความชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย (อ้างอิง)

สำหรับ ASTAXANTHIN ปริมาณ MAX DOSE ที่อย.ไทยให้อยู่ที่วันละ 6 mg แต่ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่คือ 4–12 mg/วัน และรับประทานต่อเนื่องกันไม่เกิน 12 สัปดาห์เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้นะ

5. BLACK CUMIN SEED OIL

เป็นน้ำมันที่ได้มาจากเมล็ดเทียนดำ ที่บดละเอียด น้ำมันชนิดนี้มีประวัติการใช้มาอย่างยาวนานในตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชีย เนื่องจากมีประโยชน์ในการรักษาและเสริมความงาม ในด้านเวชสำอางน้ำมันเมล็ดเทียนดำมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต่อต้านแบคทีเรีย เพราะฉะนั้นจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผิวที่เป็นสิว หรือผิวที่ระคายเคือง (อ้างอิง) 

นอกจากนี้ยังให้ความชุ่มชื้นผิว และช่วยฟื้นฟูผิวได้ แถม BLACK CUMIN SEED OIL ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนจำนวนมากและสารต้านอนุมูลอิสระที่น่าสนใจอีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น THYMOQUINONE, NIGELLONE และ BETA-SITOSTEROL ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลสามารถช่วยบำรุงผิว ฟื้นฟูความยืดหยุ่น และลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยกระบวนการ WOUND HEALING ของผิวได้อีกด้วย (อ้างอิง)

6. NATURAL PEPTIDES

เป็นเปปไทด์จากธรรมชาติ ที่รู้กันว่ามีส่วนช่วยชะลอวัยให้ผิวได้ดี เปปไทด์เป็นกรดอะมิโนสายสั้น 

ด้านเวชสำอาง

เปปไทด์มีหน้าที่หลักคือ สามารถลดการสูญเสียความชุ่มชื้น และริ้วรอยได้โดยการสร้างฟิล์มป้องกันบนผิวหนัง แถมเปปไทด์ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้ผิวได้อีกด้วย (อ้างอิง)

ด้านอาหารเสริม 

เปปไทด์ที่เรามักจะพบได้บ่อยๆในอาหารเสริมก็คือ COLLAGEN PEPTIDE นี่แหละเนอะ ซึ่งคอลลาเจนที่อยู่ในอาหารเสริม ส่วนใหญ่จะเป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยให้มีสายสั้นลง หรือ HYDROLYZED COLLAGEN พอมีขนาดอนุภาคที่เล็กลง ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมมากขึ้น 
คอลลาเจนจริงๆแล้วไม่ได้ช่วยเรื่องผิวอย่างเดียวนะเนื่องจากเขามีหลาย TYPE ก็จะสามารถช่วยบำรุงได้คนละจุด 
ซึ่งประเภทของคอลลาเจนที่มักเห็นได้บ่อยๆก็อย่างเช่น

• COLLAGEN TYPE I ที่พบมากถึง 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวกระชับ ไม่หย่อนคล้อย (อ้างอิง : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8620403/) 
• COLLAGEN TYPE II ที่พบมากในกระดูก กระดูกอ่อน และข้อต่อ มีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดที่ 1 ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์เซลล์ใหม่ๆให้มากขึ้น เพื่อลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ (อ้างอิง) 

ส่วนใครที่อยากเน้นเรื่องผิวก็ทานวันละ 5,000-10,000 mg/วัน ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ในด้านการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและลด SKIN AGING นะ (อ้างอิง) 
 

ยี่ห้อคอลลาเจนในบ้านเราก็มีหลากหลายให้เลือกเลย ใครอยากเน้นผิวก็ไป COLLAGEN TYPE I ซึ่งก็จะมีแบ่งย่อยเป็นแบบ COLLAGEN PEPTIDE, COLLAGEN TRI PEPTIDE, และ COLLAGEN DIPEPTIDE ไปอีก ส่วนใครอยากบำรุงข้อเข่าก็ไปเลือก COLLAGEN TYPE II ได้เลยนะคะ

7. MUSHROOM EXTRACTS

เห็ดเนี่ยมีส่วนช่วยบำรุงด้านสุขภาพแน่นอนอยู่แล้ว แต่น้อยคนจะรู้ว่าเห็ดก็มีประโยชน์ในด้านความงามเช่นกันนะ เนื่องจากเห็ดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถช่วยลดริ้วรอยและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้ด้วย เห็ดมีสาร POLYSACCHARIDE ในปริมาณสูง จึงให้ความชุ่มชื้นได้ดี แถมยังทำหน้าที่เป็น ANTIMICROBIAL อีกด้วย (อ้างอิง)

มีรายงานการทดสอบศักยภาพการต้านอนุมูลอิสระของเห็ด ซึ่งในการทดลองเขาใช้สารสกัดด้วยเอธานอลจากเห็ดแชมปิญอง ซึ่งมีปริมาณกรดแกลลิค กรด PROTOCATECHUIC แคตาชิน กรดคาเฟอิก กรดเฟอรูลิก อยู่เยอะ โดยให้สารสกัดกับหนูทดลองเป็นระยะเวลา 30 วัน ในปริมาณ 300, 600 และ 1,200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าหนูที่ได้รับสารสกัด 600 และ 1,200 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน มีปฏิกิริยาเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นในเซรั่มของหนู (อ้างอิง)

และยังมีงานวิจัยอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหูหนูขาว หรือ TREMELLA FUCIFORMIS มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และมีส่วนช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิวเพราะมีไฮยารูลอนธรรมชาติ (อ้างอิง)

8. CERAMIDES

ปกติแล้วเราจะพบ CERAMIDE อยู่ในสกินแคร์ซะส่วนใหญ่เนอะ แต่จะบอกว่าในอาหารเสริมก็มีเหมือนกันนะคะ หน้าที่หลักของเซราไมด์คือการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เนื่องจากสารไขมันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเหล่านี้สามารถป้องกันการสูญเสียน้ำและการขาดน้ำได้ การทานเซราไมด์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และรักษาการทำงานของเกราะป้องกันผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ไม่แพ้ระคายเคืองง่าย

สำหรับในอาหารเสริมเราก็มักจะเจอในรูปของ RICE CERAMIDE ที่มักจะปนมาสูตรของคอลลาเจน มีรายงานพบว่า CERAMIDE ที่ได้จากข้าว มีประสิทธิภาพเหนือกว่า CERAMIDE ที่สกัดจากพืชชนิดอื่นๆ เนื่องจากประกอบด้วย GLUCOSYLSPHINGOLIPIDS อย่างน้อย 6 ชนิด ซึ่งการรับประทาน RICE CERAMIDE เข้าไปโดยตรงจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี ที่สำคัญคือเป็นการบำรุงผิวจากภายใน ช่วยฟื้นฟูผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยทำให้ผิวแข็งแรง และที่สำคัญยังช่วยยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบอีกด้วย (อ้างอิง) 

และยังมีรายงานที่ทดสอบโดยให้อาสาสมัครทาน RICE CERAMIDE 40 mg ติดต่อกัน 3 เดือน พบว่าช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว เพิ่มความกระชับและยืดหยุ่น และสามารถลดริ้วรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ RICE CERAMIDE ยังลดอัตรา TEWL, MELANIN INDEX และ ERYTHEMA INDEX ได้อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย (อ้างอิง)

9. CAFFEINE

คาเฟอีนเป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์(XANTHINE ALKALOID) ซึ่งพบมากในเมล็ดกาแฟ ชา เมล็ดโกโก้ โคล่า เป็นต้น คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ลดความง่วง ทำให้รู้สึกสดชื่น มีสมาธิ และลดความเหนื่อยล้าลงได้

ด้านบำรุงสุขภาพ 

มีรายงานพบว่าการดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้ เพราะการดื่มกาแฟมีผลต่อการลดภาวะดื้อต่ออินสุลิน(INSULIN RESISTANCE) ซึ่งจากรายงานนี้เขาบอกว่าการดื่มกาแฟวันละ 1 แก้วช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ 6% นะ (อ้างอิง)

• ชาเขียว มีสาร EPIGALLOCATECHIN GALLATE(EGCG) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สามารถต้านได้ดีกว่า VITAMIN C อีก นอกจากนี้ยังช่วยในการขับสารพิษในร่างกายแบบจับกับโลหะหนัก แถมยังช่วยในการช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ ลดการอักเสบ และเพิ่มเผาผลาญได้ด้วยนะ (อ้างอิง)
ที่สำคัญคือชาเขียวช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะ CATECHIN มีส่วนช่วยในการลดการทำงานของ ENZYME AMYLASE ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกายได้ เพราะฉะนั้นก็เลยช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ (อ้างอิง) 

ด้านการบำรุงผิว

แนะนำให้กินชาเขียวเหมือนกัน เพราะสาร CATECHIN ในชาเขียวมีส่วนช่วยยับยั้ง MMP1 และลดการเสื่อมสลายของคอลลาเจนได้ ทำให้พวกริ้วรอยต่างๆก็จะดูลดลงด้วย (อ้างอิง) 
นอกจากนี้ยังพบว่าคาเฟอีนช่วยปกป้องผิวจาก OXIDATIVE STRESS ที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ผิวแก่ก่อนวัยโดยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูทางธรรมชาติหรือ AUTOPHAGY อีกด้วยนะ (อ้างอิง) 

 

ก็จบไปแล้วสำหรับสารที่กำลังมาแรงในปีนี้ ทางทีมกูรูเช็คหวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ฝากติดตามข้อมูล รีวิว สุขภาพและความงาม ตามหลักการแพทย์ได้ที่ช่องกูรูเช็คนะคะ
 

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

2007

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “