เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 12644

2023-05-24 13:00

(กูรูเช็ค) หายแน่!! ถ้ารู้จักต้นกำเนิดสิว! เพราะเรื่องสิว ไม่สิวอย่างที่คิด

• “สิว” คืออะไร

สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยชนิดหนึ่งในวัยหนุ่มสาว ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น สิวจะค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่บางคนก็ยังมีสิวเป็นๆ หายๆ หลังพ้นจากวัยรุ่นไปแล้ว สิวนั้นพบได้หลายระยะ ทั้งสิวอุดตัน ที่เป็นหัวเปิดสีดำ หรือสิวหัวปิดสีขาว หากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรีย ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบได้ โดยทั่วไปแล้ว สิวอักเสบอาจหายเองได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเกิดแผลเป็นตามมา ดังนั้นการรักษาสิวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดตามมาภายหลัง

• สาเหตุการเกิด“สิว”

ผิวหนังของเรามีต่อมไขมันอยู่ใต้ผิว ทำหน้าที่สร้างน้ำมันและไขมัน หรือที่รู้จักกันว่าซีบัม ไขมันนั้นจะถูกขับออกทางท่อน้ำมันที่มีรูเปิดเดียวกันกับรูขุมขน เมื่อต่อมไขมันถูกกระตุ้น ไขมันจะถูกสร้างมากขึ้น และเมื่อเยอะเกินจนระบายออกไม่ทัน จะเกิดการสะสมตกค้างในรูขุมขน คุณๆก็จะเป็นสิวอุดตันที่เรียกว่า โคมิโดน และเมื่อคุณๆ ปล่อยให้สิวอุดตันเกิดขึ้นนานๆจนเกิดสภาพไร้ออกซิเจนในรูขุมขน แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (โพรพิโอนิแบคทีเรียม แอคเน่) จะเจริญเติบโตได้ดี และเป็นจุดเริ่มต้นของสิวอักเสบ โดยสาเหตุของการเกิดสิวแบ่งเป็น 2 ปัจจัย คือ

• ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิด “สิว”

เริ่มตั้งแต่กรรมพันธุ์ เพศ วัย โรคเรื้อรัง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (ในช่วงเจริญวัยและช่วงมีรอบเดือน) เช่น คุณๆ ที่เป็นผู้หญิงมักจะมีสิวเห่อมากขึ้นในระยะก่อนมีประจำเดือนได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีการบวมของรูขุมขน

• ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิด “สิว”

ซึ่งมาจากพฤติกรรมของเรา เช่น ทาครีมหรือเครื่องสำอาง เพราะส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิดจะอุดตันรูขุมขนได้ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อม แสงแดด มลภาวะ รวมทั้งการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น แต่สำหรับเรื่องอาหารจำพวกของทอด ของหวาน ช็อคโกแลต ปัจจุบันยังไม่พบงานวิจัยที่ชี้ชัดว่าส่งผลโดยตรงต่อสิวนะคุณๆ

• ประเภทของ“สิว” ทั้ง 8 ประเภท

สิวที่เกิดขึ้นก็มีหลายประเภท กูรูเชคจะพามาดูว่าแต่ละประเภทมีลักษณะเด่นอย่างไร และมีวิธีการรักษาแตกต่างกันแบบไหนบ้างค่ะ

“สิว” ประเภทที่ 1 ไมโครโคมีโดน(Microcomedone)

เป็นระยะแรกของวงจรสิวทั้งหมด เป็นการอุดตันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เกิดจากการแบ่งเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติ หรือมีการสร้างชั้นเคราตินที่มากเกินไป ทำให้เซลล์ผิวหนังที่ตายไม่หลุดลอกออกไป และปิดกั้นการไหลของไขมัน(Sebum) เกิดเป็นการอุดตันของท่อเปิดต่อมไขมันและรูขุมขน

“สิว” ประเภทที่ 2 สิวหัวดำ (Blackheads)

สิวชนิดนี้เห็นชัด คุณๆ สังเกตได้ง่าย คือเค้าจะมีลักษณะนูนขึ้นมาเล็กน้อยและมีสีคล้ำซึ่งไม่เหมือนสิวชนิดอื่น สิวหัวดำ คือ สิวที่ยังไม่มีการอักเสบ จะไม่เจ็บ เกิดจากรูขุมขนอุดตัน จากเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และ Sebum รวมตัวกัน ก่อตัวเป็น ‘ตัวอุด’ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อสัมผัสกับอากาศภายนอก ซึ่งเรียกว่ากระบวนการออกซิไดซ์ เหมือนเวลาเราปอกผลไม้ทิ้งไว้แล้วมันมีสีคล้ำลงนั่นแหละคุณๆ 

“สิว” ประเภทที่ 3 สิวหัวขาว (Whiteheads) 

สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดเล็กๆ สีขาวบนผิวหนัง จัดเป็นสิวอุดตันเหมือนกับสิวหัวดำ แต่ต่างตรงที่สิวหัวขาวนั้นรูขุมขนที่อุดตันนั้นจะไม่ได้สัมผัสอากาศ จึงไม่เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน ทำให้ยังคงมองเห็นเป็นจุดสีขาวอุดตันอยู่บนผิวหนังแต่ไม่โผล่ขึ้นมา สิวหัวขาวนี้มักจะต่อยอดกลายเป็นสิวอักเสบได้

“สิว” ประเภทที่ 4. สิวเสี้ยน(Trichostasis Spinulosa) 

เกิดจากความผิดปกติของต่อมรูขน (pilosebaceous follicles) โดยมีลักษณะคล้ายสิวอุดตันหัวดำ สิ่งที่ต่างจากสิวธรรมดาคือเค้าจะมีขนคุดอยู่ด้านในด้วย เช่น ในรูขุมขนแทนที่จะมีขนเพียง 1 เส้น แต่กลับมีขนอ่อนเส้นเล็กๆหลายเส้นอัดกันแน่น ร่วมกับการอุดตันจากไขมันเลยทำให้เส้นขนเล็กๆนั้นหลุดออกได้ยากกว่าปกติ ถ้าลองบีบดูจะเห็นเป็นเส้นสีขาวเหมือนตัวหนอน 
ส่วนสิวเสี้ยนอีกแบบหนึ่งที่เราเจอบ่อยๆบนจมูก เป็นเส้นขาวๆจะเรียกว่า sebaceous filaments จริงๆแล้วไม่ใช่สิวซะทีเดียว แต่เป็นเส้นใยไขมัน ซึ่งพบได้ตามธรรมชาติของผิวเราอยู่แล้วเพราะเค้ามีหน้าที่ช่วยขับไขมันจากต่อมไขมันออกสู่ผิวด้านนอก แต่หากเรามีผิวมันมากหรือมีรูขุมขนกว้าง sebaceous filaments นี้จะเห็นได้ชัด เพราะไขมันไปสะสมและรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มักจะเกิดขึ้นบนบริเวณผิวที่มันมาก ไม่ใช่แค่ที่จมูกเท่านั้น สิวเสี้ยนแบบเรานี้ไม่ควรบีบมันค่ะ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองยิ่งขึ้น

“สิว” ประเภทที่ 5 สิวชนิดตุ่มนูนแดง(Papule) 

เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก มักเกิดจากสิวอุดตันหัวขาวที่ถูกเชื้อแบคทีเรียกระตุ้นให้เกิดการอักเสบใต้ผิวหนัง สิวชนิดนี้ถ้าคุณๆ แตะโดนจะรู้สึกเจ็บ

“สิว” ประเภทที่ 6 สิวหัวหนอง(Pustule) 

มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและรู้สึกปวด ข้างบนตุ่มจะมีหัวหนองสีเหลือง เป็นสิวที่มีอาการอักเสบมากกว่าสิวอักเสบชนิด Papule หรืออาจเกิดจากสิวที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อนด้วย

“สิว” ประเภทที่ 7 สิวอักเสบแดงเป็นก้อน(Nodular Acne) 

เป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บ ปวดค่อนข้างมาก สาเหตุมักเกิดจากเป็นสิวอักเสบชนิด Papule แล้วมีการกดบีบสิว ทำให้แบคทีเรีย และน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้สิวยิ่งอักเสบและบวมแดง

“สิว” ประเภทที่ 8 สิวหัวช้าง(Acne Conglobata) 

เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงมาก เกิดจากสิวอักเสบรุนแรงขึ้น รวมกันหนาแน่น ลักษณะนูน บวม แดง และมีหัวหนองอย่างเห็นได้ชัด รักษาได้ยาก และหากได้รับการรักษาที่ผิดวิธีอาจทำให้สิวลุกลามติดเชื้อมากขึ้น เซลล์ผิวหนังถูกทำลายจนกลายเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่หรือหลุมสิวถาวรได้

• วิธีรักษา “สิว” ด้วยยา

การรักษาสิวมีทั้งแบบทาและแบบรับประทาน ยาทาที่ใช้สำหรับรักษาสิวก็มีหลายกลุ่ม เช่น ยาปฏิชีวนะ ก็จะออกฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว แต่ก็ควรระวังเนื่องจากการใช้ยาปฏชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อนานเกินไป ก็จะเกิดการดื้อยาได้ จึงควรใช้ร่วมกับยาทากลุ่มอื่นๆ เช่น benzoyl peroxide ที่มีฤทธิ์ในการลดปริมาณไขมันในรูขุมขน สามารถลดการอุดตันและลดการอักเสบของสิวได้ 
หรือการทาร่วมกับยาทากลุ่ม Vitamin A ก็จะช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน และช่วยทำให้สิวอุดตันที่เกิดขึ้นแล้วหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น แต่ยาทาส่วนใหญ่ก็จะมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง อาจทำให้เกิดรอยแดง แห้งหรือลอกได้ ดังนั้นตอนเริ่มใช้ คุณๆ ควรทาบางๆ และใช้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้ามีอาการระคายเคืองก็ควรหยุดยา

แต่ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง การใช้ยาทาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้ยาทานร่วมด้วย ซึ่งมีทั้งยาปฏิชีวนะแบบกิน และยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ซึ่งยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอนี้มักจะได้ผลดีในการรักษาสิว แต่ราคาค่อนข้างสูง และมีผลข้างเคียง คือ ทำให้ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง และห้ามใช้ในคนที่ตั้งครรภ์ คุณๆที่จะเลือกยารับประทาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานทุกครั้งนะ
 ส่วนคุณๆ ที่ชอบบีบหรือแกะสิวเอง อันนี้ควรหลีกเลี่ยงและปรับพฤติกรรมนะ เนื่องจากการบีบสิวจะยิ่งทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำในบริเวณนั้น แถมยังเป็นการทำร้ายผิวทำให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็นตามมาได้ค่ะ

• ทริคในการดูแลผิวไม่ให้เกิด “สิว”

เนื่องจากการใช้เครื่องสำอางเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน และกลายเป็นสิวอักเสบตามมา คุณๆที่เป็นคนผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิวง่าย แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบ(oil-free, water-based) เป็นหลัก และควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไม่ทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ(noncomedogenic และ non-acnegenic) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดสิวหัวเปิดหรือสิวหัวปิด 
นอกจากนี้การใช้สเปรย์หรือเจลบำรุงเส้นผม ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใบหน้า และควรทำความสะอาดใบหน้าทุกวันด้วยสบู่หรือสารทำความสะอาดอย่างอ่อน แต่ต้องระวังไว้ด้วยว่าการล้างหน้าบ่อยครั้ง หรือการขัดถูผิวหน้ามากเกินไป ก็อาจทำให้สิวแย่ลงได้นะคุณๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะคุณๆ เรื่องสิวที่เหมือนจะธรรมดาแต่การดูแลไม่ธรรมดาเลย ทางทีมกูรูเช็คก็หวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ และฝากติดตามข้อมูลสุขภาพ ตามหลักการแพทย์ได้ที่ช่องกูรูเช็คนะคะ

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

12644

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “