เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 2291

2025-01-24 17:00

(กูรูเช็ค)อัปเดตอาหารเสริม ต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่น่าสนใจ

กูรูเช็ค

สารต้านอนุมูลอิสระสามารถพบได้จากอาหารหลายชนิด ดังนั้นการรับประทานอาหารที่หลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีปัญหาในการรับประทานอาหารหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิด อาจจำเป็นต้องรับประทานวิตามินอาหารเสริม เพื่อให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เหมาะสม

ถ้าพูดถึงสารสกัดยอดฮิตในปัจจุบัน ของอาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระที่กำลังมาแรง และคุ้นหูมากๆ ก็คงเป็น แอสต้าแซนธิน หรือสาหร่ายสีแดง HAEMATOCCCUS PLUVIALIS ซึ่งวัตถุดิบของแอสต้าแซนธินที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพนั่นก็คือ ASTAREAL ที่มีการรวบรวมเทรนด์การตลาด งานวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์ รวมถึงปริมาณล่าสุดที่ใช้ได้ตามที่ อย. ไทยกำหนด ไว้แล้ว แต่สารต้านอนุมูลอิสระไม่ได้มีเพียงเท่านี้นะ เพราะปัจจุบันมีสาร Antioxidant อื่นๆที่น่าสนใจ นอกจากแอสต้าแซนธินอีกหลายตัวเลย วันนี้กูรูเช็ครวมมาให้แล้วค่ะ

• ตัวอย่าง 7 สารต้านอนุมูลอิสระที่น่าสนใจ

1. VITAMIN C

เริ่มจากวิตามินซี ที่คงไม่มีใครไม่รู้จักสารตัวนี้ และทราบถึงประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคหวัด ที่สำคัญคือช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ใบหน้าและผิวพรรณ แต่ใช่ว่าทุกปัญหาสุขภาพจะทานวิตามินซีในปริมาณเดียวกันหรือรูปแบบเดียวกัน การทานวิตามินซีมีวิธีการทานที่ถูกต้องและเหมาะกับร่างกายแต่ละคน (อ้างอิง)

รูปแบบของวิตามินซีให้ผลไม่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมแบบ เม็ด / เยลลี่ / แคปซูล / เม็ดอม / หรือผงฟู่ แต่ใดๆก็คืออย่างที่บอกว่า วิตามินซีเสื่อมง่ายเมื่อโดนความร้อน เพราะฉะนั้นถ้าจะกินแบบเยลลี่หรือเม็ดฟู่ก็ต้องดูว่าทางแบรนด์มีเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเสื่อมสลายของวิตมินซีมาด้วย
ฟอร์มของวิตามินซีในรูป ASCORBIC ACID, BUFFERED C, ESTER-C, SLOW RELEASE, PUREWAY C และ ASCORBYL PALMITATE ให้ผลไม่ต่างกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็แนะนำเป็นวิตามินซีในรูปของ LIPOSOMAL VITAMIN C เพราะเป็นรูปแบบที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซีธรรมดา (L-ASCORBIC ACID) และสามารถกินสองรูปแบบพร้อมกันได้โดยไม่แย่งกันดูดซึม ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงระคายเคืองกระเพาะอาหารด้วย (อ้างอิง
ปริมาณที่ควรใช้ : ปริมาณที่ควรทานต่อ 1 วันก็คือ 500-1,000 mg/วัน โดยให้แบ่งกินวันละ 2 ครั้ง

2. COENZYME Q10

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้ในส่วนนึง แต่ก็ต้องมีการเสริมเข้าไปเพราะทุกวันนี้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับอนุมูลอิสระมากขึ้น มีหน้าที่ช่วยขนส่งอิเล็กตรอนและช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ในร่างกาย

coenzyme Q10 ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยทำให้ริ้วรอยดูจางลง และมีประสิทธิภาพในการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวด้วย (อ้างอิง)

นอกจากนี้มีอีกรายงานพบว่าการให้ CoQ10 แก่เซลล์ผิวที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีจะเป็นการเติมพลังงานให้แก่เซลล์ สามารถทำให้เซลล์ต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น และเกิดกระบวนการซ่อมแซมได้เร็วขึ้นด้วยนะ (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : ปริมาณที่ควรรับประทาน: 30-100 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ MAX DOSE ได้สูงสุดวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน และควรทานตอนท้องว่าง

3. GREEN TEA

ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย หากดื่มชาเขียวอย่างถูกวิธีและเหมาะสมติดต่อกันเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ชาเขียวที่มีสารสำคัญอย่างคาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยต่อต้านความเสื่อมของเซลล์และลดการอักเสบในร่างกาย และชาเขียวยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น Epigallocatechin Gallate (EGCG), Epicatechin (EC) และ Epigallocatechin (EGC) ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายได้ดีสุดๆ

ชาเขียว เป็นสารสต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติชะลอความแก่ได้ อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าชาแต่ละตัวมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างอีจีซีจี (EGCG) ที่อยู่ในกลุ่มคาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบมากที่สุดในชา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการก่อตัวของอนุมูลอิสระในร่างกาย และอาจป้องกันโรคที่เกิดจากการอักเสบ รวมถึงชะลอความแก่ได้ (อ้างอิง)

ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะไปยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน จึงช่วยลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ (อ้างอิง) และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และต้าน Photocarsinogenesis เพื่อป้องกันโรคทางผิวหนังต่างๆ ได้เป็นอย่างดี (อ้างอิง)

ปริมาณที่ควรใช้ : การบริโภคชาเขียวสำหรับดื่มในปริมาณที่พอดี จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อสุขภาพ โดยปริมาณชาเขียวที่เหมาะสมในการบริโภคต่อวัน คือ ไม่เกิน 2-3 ถ้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการรับสารคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายไม่ให้เกิน 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน

4. GLUTATHIONE

กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย

โดยโปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญ 3 ชนิดรวมกัน ก็คือ CYSTEINE, GLYCINE และ GLUTAMINE แต่กลูต้าเป็น AMINO ACIDS โมเลกุลใหญ่ ก็เลยต้องถูกย่อยหรือแตกตัวให้เล็กลงก่อนถึงจะดูดซึมผ่านลำไส้เล็กได้ ถ้าจะให้เห็นผลต้องกินเป็น REDUCED FORM ซึ่งเป็นฟอร์มที่สามารถออกฤทธิ์ได้เลย

กลูต้าเป็นเปปไทด์ที่เกิดจาก AMINO ACIDS ทำให้มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ก็จะมีปัญหาเรื่องการดูดซึม การจะกินกลูต้าให้ได้ผลจึงต้องกินในฟอร์มที่พร้อมออกฤทธิ์นั่นคือ REDUCED FORM และต้องมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเรื่องการดูดซึมด้วย หรืออาจจะต้องกิน L-CYSTEINE ซึ่งกรดอะมิโนที่เป็น PRECURSOR ของกลูต้าร่วมด้วย ปัจจุบันอาหารเสริมบ้านเราก็เริ่มมีแล้ว แต่ก็ยังถือว่าน้อย

แนะนำให้กินแนะนำให้กินสารตั้งต้นของกลูต้า หรือ COFACTOR อย่าง SELENIUM เสริมไปด้วยเพื่อช่วยเสริมการทำงานของเอนไซม์ GLUTATHIONE PEROXIDASE ทำให้ REDUCED GLUTATHIONE สามารถทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เต็มประสิทธิภาพ และกลไกที่สำคัญที่ทำให้ GLUTATHIONE สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวได้ก็คือ GLUTATHIONE ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิวชนิด eumelanin และกระตุ้นกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวชนิด PHEOMELANIN มากกว่าทำให้สีผิวไม่คล้ำ (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : 1 วันแนะนำให้บริโภค ไม่เกิน 250 มิลลิกรัม

5. RESVERATROL

Resveratrol เป็นสารในกลุ่ม POLYPHENOL ซึ่งถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง พบได้มากที่สุดที่เปลือกองุ่น ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ลดริ้วรอย และปกป้องผิวจากแสงแดด ทำให้ผิวดูสุขภาพดี ดูอ่อนกว่าวัย
อีกข้อที่สำคัญคืออุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (ANTHOCYANIN) ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ที่เหนือกว่าสารอื่นๆ สามารถจับกับอนุมูลอิสระได้ดี ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอี 50 เท่า ช่วยทำให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสและดูสุขภาพดีขึ้น

ส่วนกลไกที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสของ RESVERATROL คือยับยั้ง MELANOGENIC ENZYME นั่นก็คือ TYROSINASE  (อ้างอิง) ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ กระตุ้น SIRTUIN ENZYME ในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการชะลอวัย และอายุยืน (อ้างอิง)
ปริมาณที่ควรใช้ : แนะนำให้กินเรสเวอราทรอล 1000 mg/วัน

6. VITAMIN E

วิตามินอี เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ประโยชน์ของวิตามินอีคือป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบ

ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบ ฟอร์ม TOCOTRIENOL เป็นวิตามินอีที่ไม่อิ่มตัวทำให้สามารถแทรกตัวในผนังเซลล์ได้ เลยสามารถช่วยฟื้นฟูชั้นเซลล์ผิวได้ดี แถมยังสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีรูปแบบเดิม(TOCOPHEROL) ถึง 60 เท่า ที่สำคัญคือมีฤทธิ์ปกป้องแสง(PHOTOPROTECTIVE) ก็คือช่วยลดความเสียหายของผิวที่เกิดจาก UVB ปกป้องผิวจากแสงแดดได้ด้วย (อ้างอิง)   

วิตามินอี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณรวมโทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอลเข้าด้วยกัน จะช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด การทำงานของระบบประสาท สุขภาพจอประสาทตาและดวงตา การทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ที่ดี และแม้แต่การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (อ้างอิง) โดยวิตามินอีในรูปแบบอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ใช้เป็นสารกันหืนในอาหาร และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย
ปริมาณที่ควรใช้ : วันละ 200 มิลลิกรัม

7. CAROTENOIDS

แคโรทีนอยด์ เป็นสารพฤกษเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นเม็ดสีชนิดละลายในไขมัน แคโรทีนอยด์ พบมากในพืช ผัก ผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง แดง และเขียว ทำหน้าที่ปกป้องพืชจาก รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในแสงแดด มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ แคโรทีนอยด์มีหลายชนิดแต่ละชนิดก็ให้คุณค่าทางสารอาหารที่เป็นประโยชน์แตกต่างกัน ซึ่งแคโรทีนอยด์ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ เบต้า-แคโรทีน ไลโคปีน และลูทีน (อ้างอิง)

มีไลโคปีน เป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งมีฤทธิ์แอนตี้ออก- ซิแดนซ์สูง ไลโคปีนมีรงควัตถุสีแดง (Pigment) พบมากในมะเขือเทศสุก และพบทั่วไปในแตงโม มะละกอ และผลไม้อื่นๆ
ลูทีน จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งมีฤทธิ์แอนตี้- ออกซิแดนซ์ ลูทีนมีรงควัตถุสีเหลือง (Pigment) พบได้ทั่วไปในผักใบสีเขียวเข้ม ในร่าง- กาย คนเราลูทีนถูกพบปริมาณสูงบริเวณตรงกลางของจุดรับภาพของตา
และเบต้า แคโรทีนสารตั้งต้นวิตามินเอที่อยู่ใกลุ่มแคโรทีนอยด์ เมื่อร่างกายได้รับเข้า ไปส่วนหนึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ และอีกส่วนจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (อ้างอิง)

การนำสารแคโรทีนอยด์ไปใช้ในผลิตภัณฑ์อย่างเช่นอาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้แคโรทีนอยด์ยังสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีความสำคัญต่อดวงตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืดจึงช่วยบบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกและชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา
ปริมาณที่ควรใช้ : ขนาดรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วย สากล(IU) ซึ่งเทียบกับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณที่สมเหตุสมผลของเบต้าแคโรทีนที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือ 15 มิลลิกรัม

ทางทีมกูรูเช็คก็หวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่ต้องการสร้างแบรนด์และผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้าของตัวเอง และใครที่สนใจ Consult สร้างแบรนด์ ฟรี!! ก็สามารถ แอด LINE : @gurucheckacademy หรือคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://line.me/R/ti/p/@gurucheckacademy

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

2291

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “