เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 2026

2025-01-28 16:00

(กูรูเช็ค)อัปเดต 6 วิตามินยอดฮิต ช่วยเรื่องภูมิแพ้ เสริมภูมิคุ้มกัน สุขภาพแข็งแรง

กูรูเช็ค

อัพเดต 6 สารสกัดยอดฮิตเรื่อง ภูมิแพ้ เสริมภูมิคุ้มกัน 

ช่วงนี้ฝุ่น PM กลับมาอีกรอบ อาการที่ทุกคนต้องเจอคือแพ้อากาศ ภูมิแพ้กำเริบ ทำให้ความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการซื้ออาหารเสริมที่มาช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงขึ้น วันนี้กูรูเช็คเลยจะมาอัพเดต 6 สารสกัด ที่กำลังมาแรงน่าตีตลาดในช่วงนี้กันคะ

1. Omega 3(โอเมก้า 3)

หลายคนคงทราบดีว่า กรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 นั้นช่วยในระบบการไหลเวียนโลหิตเป็นหลัก มีความสำคัญในการทำงานของสมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่งานวิจัยล่าสุดได้ค้นพบว่าการรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของเชื้อไวรัสได้ เนื่องจากกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (อ้างอิง)

โอเมก้า-3 มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณ แมคโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งทำหน้าที่ดักจับกินสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม นิวโทรฟิลล์ (Neutrophil) ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวที่ยับยั้งการติดเชื้อและการอักเสบภายในร่างกาย รวมไปถึงยังช่วยเสริมการทำงานของ T-Cell, B-Cell, NK-Cell อีกด้วย

นอกจากนั้นยังมีรายงานพบว่าโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยให้อาการของโรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis) ดีขึ้น และอาจเป็น new tool ที่ใช้ในการรักษาอาการโรคภูมิแพ้ขึ้นตา (อ้างอิง)

โอเมก้า-3 ในปัจจุบัณ ปริมาณ/โดสที่ recommended จะอยู่ที่ 1000-1600 มก./วัน

2. Betaglucan(เบต้ากลูแคน)

เบต้ากลูแคน คือ สารในกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์ที่มักพบในผนังเซลล์ของเห็ด รา และยีสต์นอกจากจะเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังมีฤทธิ์ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของเบต้ากลูแคนเลยก็ว่าได้ เพราะสามารถเพิ่มจํานวนและกระตุ้นทํางานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้หลากหลาย ทั้ง NK cell , T cell และ B cell

เบต้ากลูแคนมีรายงานพบว่า ช่วยบรรเทาปัญหาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสรผ่านกลไกที่เกี่ยวข้องกับการลดลงของไซโตไคน์ที่ทำให้เกิดการอักเสบ IL-6, TNF-α และการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้น (อ้างอิง)

เบต้ากลูแคน ปริมาณ/โดสที่แนะนำต่อวันอยู่ในช่วง 100–500 มก. สำหรับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

3. Probiotic(โพรไบโอติก)

Probiotic หรือ กลุ่มของจุลินทรีย์ชนิดดีที่มักพบในระบบทางเดินอาหาร ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ เพราะถ้าสุขภาพลำไส้ดี ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็จะดีตามมา

โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น dendritic cells (DCs), macrophages, และ B และ T lymphocytes ซึ่งนำไปสู่การหลั่งไซโตไคน์ที่กระตุ้นการทำงานของ Tregs cell  เพื่อควบคุมการตอบสนองภูมิคุ้มกันและรักษาสมดุลในลำไส้ (อ้างอิง)

โพรไบโอติกควรเลือกสายพันธุ์ให้หลากหลาย และสำหรับคนที่เริ่มต้นทานอาจเริ่มที่จำนวน 1 พันล้าน CFUs ส่วนใครที่เคยทานมาแล้วและไม่มีปัญหาพวกท้องอืด ท้องเฟ้อ ก็สามารถทานได้เริ่มต้นที่ 1 หมื่นล้าน CFUs ได้เลย

4. Astaxanthin(แอสต้าแซนธิน)

Astaxanthin เป็นสารประเภทแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) พบได้ในสารสกัดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะสารสกัดจากสาหร่าย Haematococcus Pluvialis ซึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่นของแอสต้าแซนธินเลยก็คือ เป็นสารต้านต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถกำจัด Singlet Oxygen ได้ดีกว่าวิตามินซีถึง 6000 เท่า นอกจากนั้นยังพบว่าแอสต้าแซนธินยังมีคุณสมบัติลดการอักเสบและและเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย (อ้างอิง)

แอสต้าแซนธินโดสของการใช้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 4-12 มก./วัน หรือเพื่อความปลอดภัยสามารถใช้ได้ในช่วง 0.034 - 0.2 mg ASX/kg body weight

5. Vitamin C (วิตามินซี)

วิตามินซี มีฤทธิ์เป็นสาร antioxidant, immunomodulatory และฤทธิ์ anti-inflammatory ในแง่เสริมภูมิคุ้มกัน วิตามินซีสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น นิวโทรฟิล และแมคโครฟาจ ที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคและลดการอักเสบในร่างกายได้ (อ้างอิง)

นอกจากนั้นยังพบว่า วิตามินซีสามารถใช้ในการป้องกัน และ/หรือช่วยบรรเทาอาการโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจได้ (อ้างอิง)

วิตามินซี ในช่วงที่เป็นหวัดควรกินวิตามินซีที่ปริมาณ 2000 มก./วัน ร่วมกับการทาน Zinc จะช่วยให้อาการหวัดหายป่วยไวขึ้น แต่ถ้าจะทานเพื่อป้องกันหวัดหรือป้องกันการเกิดภาวะภูมิแพ้ ก็ควรทานวิตตามินซีเป็นประจำวันละ 1000 มก./วัน

6. Vitamin D3 (วิตามินดี3)

วิตามินดีเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน มีหลายชนิดแต่ชนิดที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ วิตามินดี2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล) และ วิตามินดี3 (คอเลแคลซิเฟอรอล) ซึ่งวิตามินดี2 ได้จากอาหารเท่านั้น ส่วนวิตามินดี3 ได้จากทั้งอาหารและผิวหนังสังเคราะห์ได้เองเมื่อสัมผัสกับแสงแดด ทั้งวิตามินดี2 และ วิตามินดี3 ต้องอาศัยการ กระตุ้นเปลี่ยนรูปที่ตับและไตเพื่อให้สามารถออกฤทธิ์ได้ในร่างกาย (อ้างอิง)

แต่ก่อนเคยมีสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวิตามินดีทั้งสองชนิดมีศักยภาพเท่าๆกัน แต่ทว่าการศึกษาวิจัยในภายหลังพบว่า วิตามินดี3 ให้ประสิทธิภาพการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่าวิตามินดี2 มากกว่าถึง 56-87%ทีเดียว(อ้างอิง: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21177785/)
และจากรายงานก็พบว่าวิตามินดีมีความสําคัญต่อการทํางานของ Machrophage กระตุ้นการเจริญและการทํางานของ NK cell ควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ และการอักเสบในร่างกาย

นอกจากนี้มีรายงานพบว่าวิตามินดีส่งผลต่อการเสริมภูมิคุ้มกันและต้านการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ดี(อ้างอิง) และวิตามินดี 3 ก็สัมพันธ์โดยตรงกับอาการภูมิแพ้ที่ลดลงในเด็กด้วยนะ (อ้างอิง)

Vitamin D3 โดสที่แนะนำก็จะอยู่ที่ 1000-8000 IU/วัน เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิ ป้องกันการป่วยจากภูมิแพ้

สารสกัดที่ทางกูรูเช็ครวบรวมมาให้คุณๆทั้ง 6 สารวันนี้ ก็ถือเป็นสารสกัดยอดฮิตที่กำลังเป็นที่ต้องการจากผู้บริโภคนะคุณๆ ทางทีมกูรูเช็คก็หวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่ต้องการสร้างแบรนด์และผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้าของตัวเอง และใครที่สนใจ Consult สร้างแบรนด์ ฟรี!! ก็สามารถ แอด LINE : @gurucheckacademy หรือคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://line.me/R/ti/p/@gurucheckacademy

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

2026

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “