เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 1966

2024-09-24 11:30

(กูรูเช็ค)แนะนำ 3 วิตามิน อาหารเสริม ที่ควรกินทุกวัน

กูรูเช็ค

วิตามิน เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งเป็นไปตามวัย 
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตประจำวันของเรา ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและเคร่งเครียด การได้รับวิตามินจากอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมวิตามินเพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไป และสำหรับคุณๆ คนไหนที่กำลังวางแผนอยากกินวิตามินเสริม วันนี้กูรูเช็คมาแนะนำวิตามินที่ควรกินต่อเนื่องในทุกๆ วัน สำหรับใครที่ทำงานหนัก ไม่อยากป่วย พร้อมทั้งผิวสวย ไม่อยากแก่ก่อนวัย มาดูกันเลยค่ะ

1. COENZYME Q10 (โคเอ็นไซม์ คิวเท็น)

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้ในส่วนนึง แต่ก็ต้องมีการเสริมเข้าไปเพราะทุกวันนี้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับอนุมูลอิสระมากขึ้น มีหน้าที่ช่วยขนส่งอิเล็กตรอนและช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ในร่างกาย และกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยสารชนิดนี้มักพบได้มากในอวัยวะที่ต้องใช้พลังงานมาก เช่น หัวใจ ไต ตับ และตับอ่อน เป็นต้น

คุณสมบัติเด่น :  
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอและฟื้นฟูความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย 
- ช่วยรักษาอาการการขาด CoQ10 เช่น อาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย
- ช่วยลดภาวะ OXIDATIVE STRESS ซึ่งเป็นตัวการก่อโรคมากมาย โดย CoQ10 จะมีผลดีต่อการลดความเสี่ยงต่อกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDS (NON-COMMUNICABLE DISEASES) เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วนลงพุง ถุงลมโป่งพอง
- รวมถึงดีต่อหัวใจและหลอดเลือด หลายการศึกษาระบุว่า CoQ10 ดีต่อเซลล์หัวใจที่ต้องการพลังงานสูง ช่วยให้หัวใจมีสุขภาพแข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  (อ้างอิง)

ในด้านการบำรุงผิว CoQ10 จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยทำให้ริ้วรอยดูจางลง และมีประสิทธิภาพในการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวด้วย (อ้างอิง)

มีอีกรายงานพบว่าการให้ CoQ10 แก่เซลล์ผิวที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีจะเป็นการเติมพลังงานให้แก่เซลล์ สามารถทำให้เซลล์ต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น และเกิดกระบวนการซ่อมแซมได้เร็วขึ้นด้วยนะ (อ้างอิง)

ปริมาณที่ควรรับประทาน : 30-100 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ MAX DOSE ได้สูงสุดวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน และควรทานตอนท้องว่าง

2. FISH OIL (น้ำมันปลา)

น้ํามันปลา มีสารอาหารที่สําคัญ คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 (OMEGA-3) ที่จําเป็นต่อร่างกาย ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จํา เป็นต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของ OMEGA-3 เท่านั้น ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน สามารถแบ่งออกได้เป็น DHA และ EPA กรดไขมันทั้งสองชนิดนี้มีส่วนช่วยต้านการอักเสบ ลดระดับไขมันที่เป็นอันตราย เพิ่มไขมันดีในเลือด

คุณสมบัติเด่น : 
- ประโยชน์ของ DHA ก็จะเน้นไปที่บำรุงสมอง บำรุงจอประสาทตา                                 
- ประโยชน์ของ EPA จะช่วยในเรื่องหัวใจและหลอดเลือด  ลดไขมันและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิตสูงลดการอุดตันของลิ่มเลือด                                                                                               - มีผลดีต่อหัวใจ และหลอดเลือด Omega-3 ในน้ำมันปลา จะช่วยเพิ่ม HDL(ไขมันดี) และลด LDL(ไขมันเลว) ลดระดับ Triglycerides (อ้างอิง)
- ผลดีต่อระบบสมอง สมองของคนเราประกอบไปด้วยไขมันประมาณ 60% ซึ่งมีส่วนประกอบเป็น OMEGA-3 จํานวนมาก ซื่งมีความสําคัญต่อการทํางานของสมอง และป้องกันหรือชะลออาการป่วยทางจิต (อ้างอิง)

จากรายงานพบว่าสามารถช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ซึ่งการอักเสบในร่างกาย ก็คือต้นตอของการเกิดโรคหรือภาวะต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หรือแม้กระทั่งผิวเหี่ยวก็ใช่นะ โดย EPA จาก OMEGA-3 ไปช่วยบล็อกการทำงานของ DELTA-5 DESATURASE ไม่ให้เกิด ARACHIDONIC ACID ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ (อ้างอิง)

ปริมาณที่ควรรับประทาน : คนที่สุขภาพแข็งแรงดี ทานได้ที่ปริมาณ EPA+DHA 250-500 มิลิกรัมต่อวัน จากข้อมูลของ AMERICAN HEART ASSOCIATION หรือสมาคมโรคหัวใจอเมริกา บอกว่าการกิน OMEGA-3 หรือ EPA ในปริมาณ 2-4 กรัม/วัน สามารถช่วยลดระดับ TRIGLYCERIDES ได้ แต่ก็ไม่ควรเกิน 4 กรัม/วัน และควรทานพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารทันที

3. VITAMIN D3 (วิตามิน ดี3)

วิตามิน ดี 3 คือ วิตามินที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เอง โดยการถูกกระตุ้นจากรังสี UVB ในแสงแดด หรือได้จากการรับประทานอาหารบางชนิด ผู้ที่เสี่ยงขาดวิตามินดีคือผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ทำงานในที่ร่มตลอดเวลา

คุณสมบัติเด่น : 
- ช่วยให้ผิวแข็งแรง ไม่ไวต่อแสง  (อ้างอิง)
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรง โดยการเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้น (อ้างอิง)
- มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เหนื่อย ไม่เพลียง่าย สามารถลดการบาดเจ็บ ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ (อ้างอิง)
- ช่วยดูดซึมแคลเซียม ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกบาง (OSTEOPENIA) และกระดูกพรุน (OSTEOPOROSIS)
- โดย CHOLECALCIFEROL(VITAMIN D3) เป็น ACTIVE FORM ของวิตามินดี มักอยู่ในรูป 1,25-DIHYDROXY VITAMIN D3 หรือ CALCITRIOL ทำให้เกิดการสร้าง OSTEOCALCIN ที่เป็นโปรตีนที่ทำให้ดึงแคลเซียมมาเกาะในกระดูก ที่สำคัญคือมีรายงานที่พบว่า CHOLECALCIFEROL หรือวิตามินดี 3 ให้ผลลัพธ์เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนได้ (อ้างอิง)

ปริมาณที่ควรรับประทาน : คนที่ไม่เคยตรวจระดับวิตามินดี 3 ในเลือด ควรรับประทานวิตามินดี 3 ประมาณ 500 – 800 IU ต่อวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 – 6 เดือนขึ้นไป และควรทานพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารทันที

สรุป

เพื่อการรับประทานวิตามินให้ตรงตามความต้องการของร่างกายมากขึ้น คุณๆ รู้กันดีอยู่แล้วว่าวิตามินเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย และมีประโยชน์ โดยมีวิตามินบางชนิดที่จำเป็นต้องได้รับทุกวัน วิตามินกลุ่มนี้ไม่ถูกสะสมหรือกักเก็บในร่างกายได้นาน จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะและเหงื่อ อย่างไรก็ตามเราก็ควรเน้นรับประทานอาหารให้ครบด้วยนะ และก่อนตัดสินใจบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแต่ละตัว ควรจะเลือกดูว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการรับรองเรียบร้อย และอย่าลืมรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดการสะสมในร่างกายด้วยนะ   

ทางทีมกูรูเช็คหวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้  ฝากติดตามข้อมูล รีวิว สุขภาพและความงาม ตามหลักการแพทย์ได้ที่ช่องกูรูเช็คนะคะ

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

1966

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “