เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 1823

2025-04-09 11:00

(กูรูเช็ค)อัปเดตอาหารโอเมก้า 3 มีกี่ฟอร์ม ต่างกันยังไง

โอเมก้า3(Omega3) คือกรดไขมันอิ่มตัวชนิดหนึ่ง มีความสำคัญสำหรับการทำงานของสมอง ระบบประสาท และการเจริญเติบโตของร่างกาย จัดเป็นไขมันจำเป็นสำหรับร่างกาย เพราะร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ จำเป็นต้องได้รับจากการบริโภคอาหาร Omega 3 

กรดไขมันโอเมก้า-3 ก็จะแบ่งเป็น 2 ชนิดที่น่าจะรู้จักกันดี ก็คือ 
1. DHA (DOCOSAHEXEANOIC ACID) 
จะพบเป็นส่วนประกอบของเซลล์สมองและจอประสาทตา มีหน้าที่สำคัญในการทำงานของระบบประสาท, สมอง และดวงตา ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับสมอง เช่น ความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์  
2. EPA(EICOSAPENTAENOIC ACID) 
ที่ทำหน้าที่หลักในระบบของหัวใจและหลอดเลือด มีส่วนช่วยในการลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และช่วยเรื่องการดูแลข้อต่อ ลดการอักเสบ

การดูปริมาณของ DHA และ EPA ในอาหารเสริม
ดูในฉลากเขาจะเขียนมาชัดเจนเลยว่าปริมาณ DHA กับ EPA เท่าไร ซึ่งใครจะเสริมเรื่องไหนก็ให้เน้นตัวนั้นเยอะหน่อย  เช่น ใน 1 เม็ดให้น้ำมันปลา 1,000 mg คุณๆ ก็ดูที่ค่า DHA กับ EPA เลยว่าใส่มาเท่าไรแล้วก็บวกกัน ถ้าจะให้ดีต้องบวกกันแล้วได้มากกว่า 500 mg ขึ้นไป เพราะว่าเราควรกิน 2-4 กรัม/วัน (2,000-4,000 mg/วัน) ง่ายๆก็คือปริมาณ DHA + EPA รวมกันต้องมีมากกว่า 50% หรือต้องมีค่า 6 ต่อ 10 ต่อ 1 เม็ดนะ

กลไกการออกฤทธิ์ของโอเมก้า 3

กลไกการออกฤทธิ์ของโอเมก้า 3 ในร่างกายมีหลายระดับ มีกลไกที่สำคัญดังนี้:
1. การปรับโครงสร้างและหน้าที่ของเยื่อหุ้มเซลล์
โอเมก้า 3 โดยเฉพาะ DHA เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ระบบประสาท เรตินา และอสุจิ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ (membrane fluidity) (อ้างอิง)
การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ส่งผลต่อการทำงานของโปรตีนที่ฝังตัวในเยื่อหุ้ม เช่น โรดอปซินในจอตา และช่องไอออนในเซลล์หัวใจ โดยช่วยปรับการทำงานของช่องไอออนโซเดียมและแคลเซียม ลดความเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อ้างอิง)
2. การควบคุมการอักเสบผ่านการผลิตสารชีวะโมเลกุล
โอเมก้า 3 แข่งขันกับกรดอะราคิโดนิก (โอเมก้า 6) ในการสร้างไอโคซานอยด์ (eicosanoids) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น PGE3 และ LTB5 แทนที่สารอนุพันธ์โอเมก้า 6 ที่กระตุ้นการอักเสบ (อ้างอิง)
กระตุ้นการสร้างสารกลุ่มรีโซลวิน (resolvins) และโพรเทคติน (protectins) ที่ช่วยหยุดกระบวนการอักเสบและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (อ้างอิง)
3. ผลต่อเมแทบอลิซึมของไขมัน
ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดผ่านการยับยั้งการสังเคราะห์ VLDL ที่ตับ และเพิ่มการสลายไขมันโดย lipoprotein lipase
ปรับสมดุลอัตราส่วนโอเมก้า 6/โอเมก้า 3 ในเยื่อหุ้มเซลล์ ส่งผลต่อการทำงานของ lipid rafts และ caveolae (อ้างอิง)
4. การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
EPA และ DHA ปรับการทำงานของช่องไอออน voltage-gated sodium และ calcium channels ในเซลล์หัวใจ ลดความเสี่ยงภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว (ventricular fibrillation) (อ้างอิง)
สำหรับอาหารเสริมโอเมก้า3 ตามท้องตลาดมีหลายฟอร์มในปัจจุบันที่ผลิตออกมาให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออย่างที่นิยมซื้อก็จะเป็นน้ำมันปลา ซึ่งความจริงแล้วฟอร์มอาหารเสริมโอเมก้า3 ไม่ได้มีอยู่แค่น้ำมันปลานะ วันนี้กูรูเช็ครวบรวมมาให้แล้วสำหรับฟอร์มของโอเมก้า3 ที่ผู้ประกอบการต้องรู้! ก่อนผลิตอาหารเสริมโอเมก้า 3  โดยจะแยกเป็นแต่ละแบบฟอร์ม ดังนี้

1. น้ำมันปลา (Fish Oil)

จุดเด่นในการ active ของ น้ำมันปลา(Fish Oil)
น้ำมันปลา (Fish Oil) มีจุดเด่นในการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีกรดไขมันโอเมก้า3 สูง ซึ่งประกอบด้วย EPA(Eicosapentaenoic acid) และ DHA(Docosahexaenoic acid) น้ำมันปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้:
1. สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: ช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ลดไขมันในเลือด และลดความดันโลหิต ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. เสริมสมอง: DHA ช่วยเสริมสร้างและพัฒนาการของสมอง ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมและภาวะซึมเศร้า
3. ลดการอักเสบ: ช่วยลดอาการอักเสบในข้อและผิวหนัง ซึ่งรวมถึงโรคข้ออักเสบและสะเก็ดเงิน
4. สุขภาพผิว: เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวและลดการอักเสบของผิวหนัง
5. ลดความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ: เช่น เบาหวาน หอบหืด และไมเกรน

ข้อดีและข้อเสียของน้ำมันปลา(Fish Oil)
- ข้อดี: เป็นแหล่งที่ดีที่สุดของ EPA และ DHA มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น การลดระดับไตรกลีเซอไรด์และปรับปรุงสุขภาพหัวใจ
- ข้อเสีย: อาจมีรสชาติหรือกลิ่นคาวปลา และอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงหรือท้องอืดในบางคน
- แหล่งที่มา: น้ำมันปลาได้มาจากปลาทะเลที่มีน้ำมัน เช่น แซลมอน, แมคเคอเรล, ซาร์ดีน

เหมาะกับสูตรอาหารเสริมแบบไหน 
น้ำมันปลา(Fish Oil) เหมาะกับสูตรอาหารเสริมที่เน้นการเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการลดการอักเสบและปรับปรุงระบบการไหลเวียนของเลือด น้ำมันปลามักจะถูกใช้ในรูปแบบแคปซูลหรือซอฟต์เจล โดยมีส่วนผสมหลักของ EPA(Eicosapentaenoic acid) และ DHA(Docosahexaenoic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน
สูตรอาหารเสริมที่เหมาะสม
1. สูตรสำหรับผู้สูงอายุ: ควรเลือกสูตรที่มีสัดส่วน EPA สูงกว่า DHA (เช่น EPA:DHA = 3:2) เพื่อเน้นการลดการอักเสบและความเสี่ยงโรคหัวใจ
2. สูตรสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน: ควรเลือกสูตรที่มีสัดส่วน EPA และ DHA เท่า ๆ กัน เพื่อดูแลระบบสมองและลดการอักเสบ
3. สูตรสำหรับบุคคลทั่วไป: สามารถเลือกสูตรที่มีปริมาณน้ำมันปลา 1,000 mg ต่อเม็ด โดยมี EPA และ DHA อย่างน้อย 500-1,000 mg ต่อวัน
โดยสูตรอาหารเสริมน้ำมันปลา ควรผลิตแบบเม็ดเจลนิ่มหรือซอฟเจลเพื่อช่วยปกป้องไม่ให้โอเมก้า3 ข้างในเกิดการสลายตัวในระหว่างการรอบริโภค หากน้ำมันปลาถูกบรรจุในแคปซูลแข็ง ๆ อาจทำให้มีรอยรั่วตรงขอบเม็ดและทำให้มีอากาศเข้าไปเกิดการออกซิไดซ์จนปริมาณของสารสำคัญลดลงได้

ตัวอย่างอาหารเสริมที่ใช้น้ำมันปลา(Fish Oil)

Vistra Odorless Fish oil น้ำมันปลาที่เค้าพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์สำหรับมือใหม่หัดลองน้ำมันปลาที่ไม่ชินกับสัมผัสและกลิ่นของน้ำมันปลาโดยเฉพาะ เพราะสูตรเค้าใช้กลิ่นเปปเปอร์มินต์เพื่อช่วยลดกลิ่น มี EPA มี EPA และ DHA ในสัดส่วน 180:120 หรือ 3:2 วิตามินอีใส่มา 15 IU(11.48 mg) มีส่วนช่วยในภาวะไขมันในเลือดสูง ลดความดันโลหิตสูง ส่วนเรื่องคุณภาพได้รับการรับรองมาตฐานระดบสากล ได้รับรองฮาลาล และสารสกัทที่ส่งตรงจากยุโรป

Mega We care Fish oil น้ำมันปลายอดฮิตที่เวลาเจอคำถาม น้ำมันปลายี่ห้อไหนดี จะต้องมี MEGA Fish Oil ในนั้น ด้วยความที่ MEGA เป็นแบรนด์ไทยที่มีคุณภาพผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิต GMP จาก 2 แห่ง คือ TGA ออสเตรเลีย และ BfArM เยอรมนี เลือกใช้สารสกัดน้ำมันปลาจากปลาแอนโชวี ผ่านการตรวจสอบโลหะหนักและสารปนเปื้อน มี EPA และ DHA ในสัดส่วน 180:120 หรือ 3:2 เหมือนกัน วิตามินอีใส่มา 1.4 mg แต่ไม่ได้ระบุหน่วย IU คงคุณภาพของน้ำมันปลา หายห่วงเรื่องความสะอาด ปลอดภัย และการผลิตที่มีคุณภาพ ช่วยบำรุงสมอง ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ช่วยเรื่องความจำ อาการปวดตามข้อ

2. น้ำมันคริลล์(Krill Oil)

จุดเด่นในการ active ของ น้ำมันคริลล์(Krill Oil)
น้ำมันคริลล์(Krill Oil) มีจุดเด่นในการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีกรดไขมันโอเมก้า3 สูง เช่น EPA(Eicosapentaenoic acid) และ DHA(Docosahexaenoic acid) นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง Astaxanthin ซึ่งช่วยต้านการเกิดออกซิเดชันและลดการอักเสบ น้ำมันคริลล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้:
1. สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เช่น LDL และไตรกลีเซอไรด์ และอาจเพิ่ม HDL (ไขมันดี) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
2. ลดการอักเสบ: มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบและลดการอักเสบในร่างกาย
3. สุขภาพสมองและระบบประสาท: ช่วยสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของ DHA ที่สำคัญต่อการทำงานของสมอง
4. สุขภาพข้อ: ช่วยลดอาการปวดและอักเสบของข้อ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาข้ออักเสบ
5. การดูดซึมที่ดีกว่า: โอเมก้า3 ในน้ำมันคริลล์เชื่อมโยงกับฟอสโฟลิพิด ซึ่งอาจทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าน้ำมันปลา
6. สารต้านอนุมูลอิสระ: Astaxanthin ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของออกซิเดชันและอาจช่วยลดการเกิดโรคต่างๆ
โดยรวมแล้ว น้ำมันคริลล์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์จากโอเมก้า-3 พร้อมกับสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มเติม

ข้อดีและข้อเสียของน้ำมันคริลล์(Krill Oil)
- ข้อดี: มี EPA และ DHA ในรูปแบบฟอสโฟลิพิด ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีกว่าน้ำมันปลา
- ข้อเสีย: อาจมีราคาแพงกว่าน้ำมันปลา และอาจมีปริมาณ EPA และ DHA น้อยกว่า
- แหล่งที่มา: น้ำมันคริลล์มาจากคริลล์ ซึ่งเป็นกุ้งขนาดเล็กในมหาสมุทร

เหมาะกับสูตรอาหารเสริมแบบไหน 
น้ำมันคริลล์(Krill Oil) เหมาะกับสูตรอาหารเสริมที่เน้นการดูแลสุขภาพหัวใจและสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการลดการอักเสบและปรับปรุงการดูดซึมของโอเมก้า-3 น้ำมันคริลล์มีคุณสมบัติเฉพาะที่ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฐานในการผสมผสานกับสารอาหารอื่นๆ ดังนี้:
สูตรอาหารเสริมที่เหมาะสม
1. สูตรสำหรับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: ผสมน้ำมันคริลล์กับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น Astaxanthin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและดูแลสุขภาพหัวใจ
2. สูตรสำหรับการดูแลสมองและระบบประสาท: ผสมน้ำมันคริลล์กับสารอาหารที่ช่วยเสริมสมอง เช่น Choline เพื่อเพิ่มการทำงานของสมองและความจำ
3. สูตรสำหรับการลดการอักเสบและข้ออักเสบ: ผสมน้ำมันคริลล์กับสารต้านการอักเสบอื่นๆ เช่น Turmeric/Curcumin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการอักเสบ
4. สูตรสำหรับการดูแลผิวและตา: ผสมน้ำมันคริลล์กับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น Vitamin E เพื่อช่วยปกป้องผิวและตา

ตัวอย่างอาหารเสริมที่ใช้น้ำมันคริลล์(Krill Oil)

Doctor’s Best Enhanced Krill Plus Omega3 เป็นอาหารเสริมน้ำมันคลิลล์ออย ที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน MSC ว่าเป็นการจับสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน เป็นน้ำมันคริลล์ เสริมด้วยน้ำมันปลาเข้มข้นเพื่อเพิ่มโอเมก้า3, DHA และ EPA ช่วยส่งเสริมสุขภาพของหัวใจและสมอง การดูแลรักษาเซลล์ บำรุงข้อกระดูก การไหลเวียนโลหิต และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

Swolverine Krill Oil เป็นอาหารเสริมน้ำมันคลิลล์ ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่าง EPA และ DHA, แอสตาแซนทิน และฟอสโฟลิพิดอื่นๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างข้อต่อ การทำงานของสมอง และสุขภาพโดยรวม เมื่อเทียบกับน้ำมันปลา น้ำมันคริลล์มีชีวปริมาณออกฤทธิ์ที่ดีกว่าและดูดซึมได้เร็วกว่า น้ำมันคริลล์ของ Swolverine ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักกีฬาได้ออกกำลังกายในแต่ละวัน

3. น้ำมันสาหร่าย(Algae Oil)

จุดเด่นในการ active ของ น้ำมันสาหร่าย(Algae Oil)
น้ำมันสาหร่าย(Algae Oil) มีจุดเด่นในการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีกรดไขมันโอเมก้า3 สูง เช่น DHA(Docosahexaenoic acid) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมองและสายตา น้ำมันสาหร่ายมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้:
1. สุขภาพสมองและสายตา: DHA ในน้ำมันสาหร่ายช่วยเสริมสร้างและพัฒนาการของสมองและสายตา เป็นประโยชน์ต่อทารกในครรภ์และเด็กเล็กในการพัฒนาการมองเห็นและสติปัญญา
2. ลดการอักเสบ: น้ำมันสาหร่ายมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
3. ระบบภูมิคุ้มกัน: สารโพลีแซคคาไรด์ในน้ำมันสาหร่ายบางชนิดช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น
4. ความยั่งยืน: การผลิตน้ำมันสาหร่ายเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนมากกว่าการผลิตน้ำมันจากสัตว์ทะเล เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของทะเล
5. สารต้านอนุมูลอิสระ: น้ำมันสาหร่ายบางชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Fucoxanthin ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของออกซิเดชัน
โดยรวมแล้ว น้ำมันสาหร่ายเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์จากโอเมก้า3 โดยไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทะเล

ข้อดีและข้อเสียของน้ำมันสาหร่าย(Algae Oil)
- ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมังสวิรัติหรือวีแกน มี DHA และบางครั้งมี EPA
- ข้อเสีย: อาจมีปริมาณ EPA และ DHA น้อยกว่าน้ำมันปลา
- แหล่งที่มา: ได้มาจากสาหร่ายขนาดเล็ก

เหมาะกับสูตรอาหารเสริมแบบไหน 
น้ำมันสาหร่าย (Algae Oil) เหมาะกับสูตรอาหารเสริมที่เน้นการดูแลสุขภาพหัวใจและสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการแหล่งโอเมก้า3 ที่ยั่งยืนและเป็นมังสวิรัติ น้ำมันสาหร่ายมีคุณสมบัติเฉพาะที่ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฐานในการผสมผสานกับสารอาหารอื่นๆ ดังนี้:
สูตรอาหารเสริมที่เหมาะสม
1. สูตรสำหรับสุขภาพหัวใจและสมอง: ผสมน้ำมันสาหร่ายกับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น Vitamin E เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพหัวใจและสมอง.
2. สูตรสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน: ผสมน้ำมันสาหร่ายกับสารอาหารที่ช่วยเสริมสมอง เช่น Choline เพื่อเพิ่มการทำงานของสมองและความจำ.
3. สูตรสำหรับผู้กินมังสวิรัติและเจ: เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์
4. สูตรอาหารเสริมผิวพรรณ: น้ำมันสาหร่ายบางชนิดมีคุณสมบัติในการบำรุงผิวและลดริ้วรอย
5. สูตรสำหรับการดูแลสายตา: ผสมน้ำมันสาหร่ายกับสารอาหารที่ช่วยดูแลสายตา เช่น Lutein เพื่อเพิ่มการทำงานของสายตา

ตัวอย่างอาหารเสริมที่ใช้น้ำมันสาหร่าย(Algae Oil)

Natures' Truth Omega 3 Algae Oil  เป็นสูตรจากน้ำมันสาหร่ายวีแกน จึงเหมาสำหรับการควบคุมอาหารและวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน มีโอเมก้า 3 จากพืชในแคปซูลนิ่มวีแกน ใน 1 แคปซูลนิ่มที่รับประทานง่ายจะให้ DHA(กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก) 200 มก. ซึ่งเป็นโอเมก้า 3 จำเป็นที่ได้มาจากน้ำมันสาหร่ายวีแกน เพื่อตอบโจทย์คนที่ไม่ทานน้ำมันปลา โดยเฉพาะวีแกนและผู้ที่ไม่ชอบปลา

BulkSupplements Omega3 Algae Oil เป็นน้ำมันจากสาหร่าย ในซอฟต์เจลในรูปแบบที่รับประทานง่ายและสะดวก ด้วยการดูดซึมอย่างรวดเร็ว ช่วยสนับสนุนการทำงานของข้อต่อ ซึ่งมีประโยชน์ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาไลฟ์สไตล์ที่กระฉับกระเฉง บำรุงหนังศีรษะ และผิวหนัง

ผู้ประกอบการสามารถหาสารสกัด Omega3 แต่ละแบบฟอร์ม ได้ที่

1. บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ (Thai Union Ingredients)
ที่ตั้ง: สมุทรสาคร
ผลิตภัณฑ์: ผลิตน้ำมันปลาทูน่า UniQTMDHA ซึ่งมี DHA สูงถึง 28-30% โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โรงงานตั้งอยู่ในไทยและต่างประเทศ เช่น เซเชลล์ กาน่า และเยอรมนี

2. บริษัท CEO Factory Thailand
ที่ตั้ง: สงขลา
ผลิตภัณฑ์: บริษัทรับผลิตอาหารเสริมแบบครบวงจร รวมถึงการพัฒนาสูตรโอเมก้า 3 เช่น Omega 3 Triple EPA สูง 3 เท่า (540 mg EPA, 360 mg DHA) โดยให้บริการ OEM/ODM สำหรับแบรนด์อาหารเสริม

3. บริษัท 3C GROUP
ที่ตั้ง: กรุงเทพมหานคร
ผลิตภัณฑ์: 3C GROUP นำเข้าวัตถุดิบอาหารเสริมและให้บริการผลิตอาหารเสริมรวมถึงโอเมก้า 3 ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีความสามารถระดับโลกเพื่อทำการวิจัยและคัดสรรวัตถุดิบ

4. บริษัท Pharma Nord S.E.A.
ที่ตั้ง: กรุงเทพมหานคร
ผลิตภัณฑ์: ผลิตอาหารเสริมและสมุนไพรบำบัด เป็นหนึ่งในผู้นำในด้านการผลิตอาหารเสริมในยุโรป และมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในประเทศไทย

5. บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน)
ที่ตั้ง: จังหวัดสมุทรสาคร
ผลิตภัณฑ์: รับผลิตอาหารเสริมครบวงจร (OEM/ODM) มาตรฐานสากล มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชกรรมและวิศวกรรม

6. บริษัท ควอลิตี้ พลัส อินเตอร์เทค จำกัด
ที่ตั้ง: ปทุมธานี
ผลิตภัณฑ์: ให้บริการสร้างแบรนด์วิตามินแบบ OEM รวมถึงวิตามินรวมและวิตามินอื่นๆ มีเครื่องมือในการผลิตแบบครบวงจร สามารถผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ

5.บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน)
ที่ตั้ง: จังหวัดสมุทรปราการ
ผลิตภัณฑ์: ผลิตยาสำเร็จรูป, ยา OTC, และอาหารเสริม โดยมีโรงงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GMP และมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM)

7. บริษัท จันทร์เจ้า ลองจีวิตี้ จำกัด 
ที่ตั้ง: กรุงเทพมหานคร
ผลิตภัณฑ์: เป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพหลากหลายชนิด เลือกสรรวัตถุดิบ ที่มีคุณภาพดีที่สุด และมีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าได้ผลจริง มาให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ ในราคาที่คุ้มค่า

ข้อควรพิจารณาในการเลือกบริษัทนำเข้าสารสกัด
1. มาตรฐานคุณภาพ: เลือกบริษัทที่ผ่านการรับรอง GMP, HACCP หรือมาตรฐานระดับสากลอื่น ๆ
2. ความโปร่งใสของวัตถุดิบ: ตรวจสอบแหล่งที่มาของน้ำมันปลา เช่น ปลาทะเลน้ำลึกหรือแหล่งเพาะเลี้ยงคุณภาพสูง
3. บริการเสริม: พิจารณาบริษัทที่มีบริการปรับแต่งสูตรอาหารเสริมหรือ OEM สำหรับแบรนด์ของผู้ประกอบการ
4. พิจารณาความเหมาะสมของราคาและปริมาณสารสำคัญ (EPA, DHA)

ผู้ประกอบการสามารถหาสารสกัดโอเมก้า3(Omega3) จากต่างประเทศ ได้ที่

1. BASF SE (เยอรมนี)
รายละเอียด: บริษัทชั้นนำระดับโลกที่เน้นการพัฒนากรดไขมันโอเมก้า3 ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
จุดเด่น: มีพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย รองรับการใช้งานในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสุขภาพ
2. Croda International PLC (สหราชอาณาจักร)
รายละเอียด: ผู้ผลิตน้ำมันปลาที่เน้นส่วนผสมโอเมก้า3 คุณภาพสูงและความบริสุทธิ์
จุดเด่น: มีความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนและนวัตกรรมในตลาดสุขภาพ
3. Omega Protein Corporation (สหรัฐอเมริกา)
รายละเอียด: ผู้เชี่ยวชาญด้านสารอาหารจากปลา โดยเน้นการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน
จุดเด่น: เครือข่ายการกระจายสินค้าครอบคลุมและมีความหลากหลายในสายผลิตภัณฑ์
4. Pelagia AS (นอร์เวย์)
รายละเอียด: ผู้จัดหาน้ำมันปลาจากแหล่งประมงในภูมิภาคยุโรป
จุดเด่น: ใช้แนวทางการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนเพื่อสนับสนุนตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
5. Lysi HF (ไอซ์แลนด์)
รายละเอียด: ผู้ผลิตน้ำมันปลาคุณภาพสูงโดยใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิมร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
จุดเด่น: มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือในตลาดโลก
6. Makers Nutrition (สหรัฐอเมริกา)
รายละเอียด: ผู้ผลิตน้ำมันปลาตามความต้องการ เช่น แคปซูล ผง หรือครีม พร้อมบริการ Private Label และ Contract Packaging
จุดเด่น: ได้รับการรับรองจาก FDA, NSF, และ NPA
7. NutraPak USA (สหรัฐอเมริกา)
รายละเอียด: บริษัทที่ให้บริการ Private Label สำหรับน้ำมันโอเมก้า3 และน้ำมันปลา เช่น น้ำมันตับปลา น้ำมันปลาแซลมอน ฯลฯ
จุดเด่น: รองรับบรรจุภัณฑ์หลากหลาย เช่น ขวด ซอง หรือแคปซูล พร้อมมาตรฐาน cGMP

ข้อควรพิจารณาในการเลือกซัพพลายเออร์
1. ตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ เช่น ISO, GMP, หรือ FOS
2. เลือกบริษัทที่มีความโปร่งใสในแหล่งวัตถุดิบและกระบวนการผลิต
3. พิจารณาบริษัทที่ให้บริการ Private Label หรือ Contract Manufacturing เพื่อสร้างแบรนด์
4. เปรียบเทียบราคาจากหลายบริษัทเพื่อให้เหมาะสมกับงบประมาณ

สรุป
โอเมก้า3 ที่ใช้ในอาหารเสริมมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกรูปแบบที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานและความต้องการส่วนบุคคล เลือกตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น สายวีแกนควรเลือกฟอร์มที่มาจากน้ำมันที่มาจากพืช เช่น Algae Oil  และต้องพิจารณาความเข้มข้นของ EPA และ DHA ให้เหมาะสมตามความต้องการของตลาดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการที่จะเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัย ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย เช่น การทดสอบสารปนเปื้อนใน Fish Oil หรือ Krill Oil ด้วย

ทางทีมกูรูเช็คก็หวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่ต้องการสร้างแบรนด์และผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้าของตัวเอง และใครที่สนใจ Consult สร้างแบรนด์ ฟรี!! ก็สามารถ แอด LINE : @gurucheckacademy หรือคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://line.me/R/ti/p/@gurucheckacademy

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

1823

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “